xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : กลุ่มพระต่างแค้วน (ตอนที่ ๙๒)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กลุ่มพระต่างแคว้น คือ กลุ่มพระที่ออกบวชต่างแคว้นละ ๑ รูป(เฉพาะที่เป็นพระอสีติมหาสาวก) มี ๖ รูป คือ พระพาหิยะ พระปุณณะ พระทัพพะ พระรัฐบาล พระโสณโกฬิวิสะ พระมหากัปปินะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้

การออกบวช (ต่อ)

พระมหากัปปินะ ตัดสินใจออกบวชทันทีหลังจากได้ทราบว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ อุบัติขึ้นในโลกแล้ว ตามที่ท่านครั้งยังเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ได้ส่งคนออกไปสืบหาท่านผู้รู้ตามทิศต่างๆ นั้น

วันหนึ่งได้ทราบจากพ่อค้าชาวเมืองสาวัตถี ที่เดินทางขึ้นมาค้าขายในแคว้นของท่านว่า บัดนี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อุบัติขึ้นในโลก

ทันทีที่ได้ทราบเช่นนั้นก็ดีใจมาก เกิดปีติท่วมท้น ยอมสละราชสมบัติทั้งหมด แล้วพาบริวาร ๑,๐๐๐ เดินทางมุ่งหน้ามาเมืองสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า

การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากต้องผ่านภูเขาและแม่น้ำสายใหญ่ถึง ๓ สาย คือ แม่น้ำอารวปัจฉา แม่น้ำนีลวาหนา และแม่น้ำจันทภาคา ซึ่งแม่น้ำแต่ละสายนั้นกว้างและลึกเป็นโยชน์จะข้ามไปได้ต้องอาศัยเรือแพขนาดใหญ่ ซึ่งหายากมาก

แต่ท่านก็สามารถพาบริวารข้ามไปได้ ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานขออำนาจพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง โดยขอให้พื้นผิวน้ำจงแข็งดุจแผ่นดิน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านตั้งจิตอธิษฐาน ม้าของท่านและบริวารสามารถวิ่งไปบนผิวน้ำได้เหมือนวิ่งบนแผ่นดิน โดยที่แม้แต่กีบม้าก็ไม่เปียกน้ำ

เช้ามืดวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก เห็นท่านพร้อมด้วยบริวารกำลังมา หมายจะเฝ้าพระองค์ และทรงเห็นว่าท่านจะได้ออกบวชพร้อมกับบริวารและจะได้บรรลุอรหัตผลในที่สุด จึงเสด็จออกไปรับท่าน ณ ริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคา

พระพุทธเจ้านั่งเปล่งฉัพพรรณรังสีอยู่ใต้ต้นพหุปุตตกนิโครธ พระมหากัปปินะ และบริวารมองเห็นพระรัศมีรุ่งเรืองแต่ไกล จึงมุ่งหน้าไปหา ครั้นเข้าไปใกล้พบว่า ผู้ที่นั่งเปล่งรัศมีอยู่นั้น คือนักบวชรูปหนึ่ง ก็ปลงใจเชื่อว่านี่คือพระพุทธเจ้าจึงลงจากหลังม้าพาบริวารเดินน้อมกายเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านเกิดปีติจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จึงเข้าไปกอดพระบาทถวายบังคม แล้วถอยออกมานั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ท่านพร้อมกับบริวารได้กราบทูลขอบวชหลังจากได้ฟังอนุพพิกถา และอริยสัจ 4 จบลง ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงบวชให้ด้วยวิธีบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา

การบรรลุธรรม

พระพาหิยะ ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าท่านได้บรรลุอรหัตผลก่อนแล้ว จึงทูลขอบวช โดยได้ฟังธรรมว่าด้วยเรื่องการรู้ทันขณะเห็นรูปได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัสทางกาย และนึกคิดถึงอารมณ์ที่เคยได้รับรู้มาแล้ว ซึ่งเรียกว่า “รู้ทันวิญญาณ ๖”

ท่านบรรลุอรหัตผลได้เร็ว แต่การที่พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขต้องให้ท่านทูลขอฟังธรรมถึง ๓ ครั้ง ก็เพราะทรงเห็นว่า ท่านเดินทางมาไกล ร่างกายอ่อนเพลีย ร่างกายยังไม่พร้อม เพราะเกิดปีติมากเกินไป จึงทรงประวิงเวลารอให้สภาพร่างกายและสภาพจิตใจพร้อมก่อน จึงทรงแสดงธรรม ซึ่งก็ได้ผล คือ เมื่อฟังจบแล้วท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลทันที

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 140 สิงหาคม 2555 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
กำลังโหลดความคิดเห็น