xs
xsm
sm
md
lg

บทความพิเศษ : "น้ำมนต์" รักษาโรคได้จริงหรือ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรื่องของน้ำมนต์เป็นความเชื่อที่มีมาช้านานแล้วว่า สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้

และด้วยความเชื่อเช่นนี้เอง จึงทำให้ “สุกัญญา คมสัน” พยาบาลหน่วยทารกแรกเกิด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ทำวิจัยเรื่อง “ทิพยมนต์กับการบำบัดโรค” ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ ในวารสารสำนักการแพทย์ทางเลือกปีที่ 3 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2553

ในบทคัดย่อของงานวิจัยนี้บอกไว้ว่า

พระภิกษุผู้ปฏิบัติกรรมฐานได้ฌานระดับต่างๆ ย่อมมีพลังจิตสูง สามารถส่งพลังจิตผ่านการสวดมนต์ พลังจิตชนิดนั้น ก็จะถูกบันทึกไว้ในน้ำและสามารถถ่ายออกมา นำไปใช้ในโอกาสที่ต้องการ คือผู้ใช้ต้องตั้งจิตแน่วแน่ ขอรับเอาพลังในสิ่งนั้นๆมาใช้ให้เกิดผลดีกับตน

ผู้วิจัยจึงเกิดแนวคิดว่า หากสามารถนำพุทธศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการบำบัดโรคร่วมกับการรักษาของแพทย์ โดยเปรียบเทียบภาวะเจ็บป่วยตามกลุ่มอาการ 7 ชนิด ในทารกแรกเกิดจำนวน 482 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ใช้น้ำทิพยมนต์

ผลการวิจัยพบว่า จำนวนวันนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยลดลงจาก 8.6 วัน เหลือ 4.8 วัน ค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและโรงพยาบาลลดลง

ซึ่งน้ำแต่ละประเภทที่ทดลองมีการเรียงตัวของโมเลกุลแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต น้ำที่มีคุณภาพสูงจะมีการจัดเรียงโมเลกุลที่ดีกว่า แต่น้ำทุกประเภทที่ผ่านการสวดพระพุทธมนต์ ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ สามารถเปลี่ยนโมเลกุล น้ำให้เป็นหกเหลี่ยม และเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ สวยงาม ถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านไปหลายปี หรือการทำให้อุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลงโดยการต้มหรือเข้าไมโครเวฟ จะยังคงสภาพเดิมอยู่ได้

ทิพยมนต์นี้ เป็นการสวดพุทธคุณเข้าธาตุ คนเราเกิดมาต้องอาศัยธาตุทั้ง 6 ธาตุเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ด้วยการกระทำของตนเอง หากกระทำดีธาตุจะให้คุณ

อำนาจของพุทธคุณนี้ทำให้ธาตุของตน บริสุทธิ์ จิตจะผ่องใสและมีพลัง และเมื่อจิตฝึกหัดดีแล้ว ย่อมใช้อำนาจไปในทางที่ ถูกผูกใจคน ได้รับผลล้นค่า...

ในระยะที่ผ่านมา มีการทดลองใน ญี่ปุ่น โดย ดร.มาซารุ เอโมโตะ เรื่อง The hidden messages in water ถ่ายรูป ผลึกของน้ำ เมื่อผ่านการฟังเสียงพูด เสียง เพลง ที่มีเจตนาอารมณ์ต่างๆกัน ผลึกของน้ำก็จะแตกต่างกัน มีทั้งสวยงามและไม่สวยงาม

ผลงานนี้ได้เผยแพร่ให้นักวิทยาศาสตร์ ทั่วโลกได้รับรู้ด้วย จึงมีคำถามตามมาว่า

ทำไมน้ำจึงรับพลังจิตได้หลากหลายจนกลายเป็นน้ำมนต์ น้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีกันทั่วโลกหลายพันปีแล้ว และกลายมาเป็นน้ำรักษาโรค

ส่วนความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์นั้นอธิบายด้วยวิชาฟิสิกส์ด้านควอนตัม ซึ่งหมายถึง อนุภาคที่เป็นส่วนย่อยของอะตอม มีอยู่ในอะตอมของทุกๆธาตุในโลก มีคุณสมบัติที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น อาจแสดงตัวเป็นมวล(สสาร) หรือเป็น คลื่น(พลังงาน)ก็ได้ แล้วแต่สิ่งแวดล้อม

อนุภาคควอนตัมตัวเดียวอาจอยู่ได้หลายๆที่ในเวลาเดียวกัน และอนุภาคควอนตัมที่มีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน เมื่อถูกจับแยกให้ห่างกัน แม้จะไกลเท่าใดก็ตาม ก็จะรับส่งข้อมูลติดต่อกันได้ด้วยความเร็วมากกว่าแสง

• ระเบียบวิธีการวิจัย

1. ตรวจโมเลกุลน้ำชนิดต่างๆ (น้ำ กรอง/ Sterie water/ 0.9 % Normal Saline/Intravenours Fluid) ด้วย Dark Field Microscoope กำลังขยาย 100-400 เท่า ก่อนและหลังนำเข้าพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยพระสงฆ์จำนวน 9 รูป มีหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี เป็นประธาน

2. น้ำชนิดต่างๆที่ผ่านพิธีจะไม่มีการเปิดขวดหรือปนเปื้อนใดๆทั้งสิ้น

3. นำน้ำที่เข้าพิธีเจริญพระพุทธมนต์แล้ว (น้ำทิพยมนต์) บำบัดโรคแก่ทารกที่เจ็บป่วยร่วมกับแผนการรักษาของแพทย์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยให้น้ำทิพยมนต์ ให้บริกรรมคำว่า “พุทโธ” และอธิษฐาน ขอให้ผู้ป่วยหายจากโรคที่เป็นอยู่ เพื่อเป็นอุบายในการคิดและปรารถนาสิ่งที่ดีต่อผู้อื่น

4. เปรียบเทียบตัวชี้วัดตามกลุ่มอาการ ของโรค 7 ชนิด ระหว่างกลุ่มทารกเจ็บป่วย ที่ใช้ และไม่ใช้น้ำทิพมนต์ (กลุ่มอาการโรค ได้แก่ ภาวะหายใจลำบาก ปริมาณ gastric content เหลือค้างในกระเพาะอาหาร ภาวะตัวเหลือง จอประสาทตาเสื่อม ผื่นแพ้ แสงบำบัด PDA เปิด ภาวะหลอดเลือดดำอักเสบแดงจากการฉีดยา เป็นต้น) จากจำนวนทารกแรกเกิดที่มีภาวะเจ็บป่วยทั้งหมด 462 คน

5. เปรียบเทียบผลการทดลองที่ได้ แปลผล และสรุปผล ภายใต้รูปแบบกระบวนการวิจัย

คุณสมบัติของน้ำทิพยมนต์

1. สามารถผ่านผนังเซลล์ได้ง่าย
สามารถนำพาสารอาหาร เอนไซม์ แร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ เพื่อนำไปใช้ได้ง่าย เมื่อออกจากเซลล์ก็จะพาเอาสารพิษ สารตกค้าง และของเสีย จากกระบวนการเผาผลาญอาหารออกมา จากเซลล์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ผลคือเซลล์มีสุขภาพดี ชะลอการเสื่อมคุณภาพลงได้

2. มีแรงตึงผิวต่ำจึงสามารถทำละลายได้ดี จึงทำละลายได้ดีทั้งออกซิเจน วิตามิน แร่ธาตุ และนำพาสารอาหารเข้าไปยังเซลล์ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันของเสียในเซลล์ก็สามารถละลายได้ง่ายในน้ำนี้เช่นกัน

ดังนั้น จึงถูกนำพาออกมากำจัดนอกเซลล์และถูกนำออกจากร่างกายได้โดยสะดวก เซลล์จึงแข็งแรงและมีภูมิต้านทานดีขึ้น

3. มีปริมาณออกซิเจนสูง ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายได้รับออกซิเจนเพื่อสร้างพลังงานได้เร็วและมากขึ้น ออกซิเจนยังช่วยทำให้ Anaerobic Bacteria หยุดการเจริญเติบโตในที่ที่มีออกซิเจน

4. มีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อนๆ (pH 7.5-8.0) ร่างกายมนุษย์ (ยกเว้นกระเพาะอาหารและไต) มีค่าเป็นด่าง(pH 7.4) น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมมีค่าเป็นด่าง มากกว่า จึงช่วยเจือจางของเสียที่มีฤทธิ์เป็นกรดภายในเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ให้สมดุล การเผาผลาญพลังงานทุกครั้งจะเกิดของเสียที่เป็นกรดสะสม การมีภาวะกรดในเลือดสูง ถ้าไม่มีน้ำดื่มที่เป็นด่างมาช่วยทำปฏิกิริยาต่อต้าน จะทำให้ร่างกายจำเป็นต้องดึงเอาแคลเซียมและแมกนีเซียมออกมาจากเนื้อของกระดูกฟัน และกล้ามเนื้อ เพื่อมาเจือจางความเป็นกรดในร่างกาย

5. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เกิดจากออกซิเจนอิออน ซึ่งให้ ประจุลบไปหยุดวงจรของการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวทำลายเยื่อหุ้มเซลล์และความเสื่อมต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคเบาหวาน เป็นต้น ในบางครั้งออกซิเจนอิออนจะรวมกันเองกลายเป็นก๊าซออกซิเจนละลายอยู่ในน้ำ

ภาพที่ 1-4 ภาพโมเลกุลของน้ำ ถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์ชนิด Dark Field กำลังขยาย 100-400 เท่า (ใช้filter สีฟ้าในการส่องดูผลึก

ภาพที่ 5-9 ภาพโมเลกุลของน้ำ


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 135 มีนาคม 2555 โดย กองบรรณาธิการ)
(1) น้ำกรองสำหรับดื่มทั่วไป
(2) น้ำกลั่นธรรมดา
(3) 0.9% NSS ธรรมดา
(4) 0.9% NSS น้ำทิพยมนต์
(5) น้ำกรองทิพยมนต์ (100X)
(6) น้ำกรองทิพยมนต์ (100X)
(7) น้ำกรองทิพยมนต์ (400X)
(8) น้ำ sterile ทิพยมนต์ (400X)
(9) น้ำ sterile ทิพยมนต์ (400X)
กำลังโหลดความคิดเห็น