กลุ่มพระชาวแคว้นวังสะ คือ กลุ่มพระที่เป็นชาวแคว้นวังสะโดยกำเนิด มี ๒ รูป คือ พระพากุละ และพระปิณโฑลภารทวาชะ
บั้นปลายชีวิต
พระพากุละ แม้จะบวชเมื่ออายุได้ ๘๐ ปี ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก ๘๐ ปี รวมอายุได้ ๑๖๐ ปี วันนิพพาน ท่านนั่งเข้าเตโชสมาบัติท่ามกลางพระสงฆ์ แล้วอธิษฐานให้เกิดไฟลุกไหม้ร่างกายของท่านหลังจากนิพพานแล้ว เพื่อศพของท่านจะได้ไม่เป็นภาระแก่บุคคลอื่นต่อไป
พระปิณโฑลภารทวาชะ แม้จะไม่มีกล่าวถึงบั้นปลายชีวิตของท่าน แต่ก็สันนิษฐานได้ว่า ท่านคงจะมีชีวิตอยู่จนถึงช่วงหลังพุทธปรินิพพาน
เอตทัคคะ-อดีตชาติ
พระพากุละ และพระปิณโฑลภารทวาชระ ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะทั้ง ๒ รูป พระพากุละ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธ ส่วนพระปิณโฑลภารทวาชะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบันลือสีหนาท
พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระอสีติมหาสาวก ๒ รูปนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ตามความสามารถในชาติปัจจุบัน และตามที่ท่านตั้งจิตปรารถนาไว้ในอดีตชาติ
พระพากุละ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองจันทวดี เมื่อเจริญวัยแล้วได้ศึกษาไตรเพท ครั้นจบแล้วเห็นว่าไม่มีสาระพอที่จะเปลื้องตนให้พ้นทุกข์ได้ จึงสละเพศฆราวาสออกบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญฌานจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ต่อมาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี และฟังธรรมจากพระองค์ คราวหนึ่งพระพุทธเจ้า ทรงประชวรด้วยพระโรคลม ท่านทราบแล้วจึงไปยังเชิงเขา เก็บเอาพันธุ์ไม้ต่างๆ มาปรุงเป็นพระโอสถถวาย ครั้นพระพุทธเจ้าเสวยแล้วพระโรคลมก็สงบ
ท่านเกิดปีติโสมนัส จึงตั้งความปรารถนาว่า ไม่ว่าจะเกิดในชาติใด ขออย่าได้เป็นโรคแม้แต่เพียงปวดศีรษะ จากชาตินั้นท่านไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลก ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าปทุมุตตระนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธ แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวก แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณ แล้วทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผล และจักได้รับเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธ”
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านออกบวชเป็นฤาษีและได้บำเพ็ญฌานจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ต่อมาได้เฝ้าพระพุทธเจ้าและฟังธรรมอยู่เนืองๆ และนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คราวหนึ่งเห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าอาพาธด้วยโรคปวดศีรษะ อันเนื่องมาจากละอองเกสรดอกไม้พิษ ซึ่งปลิวมาจากป่าหิมพานต์ จึงออกไปรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆ มาปรุงเป็นยาถวายพระสาวกเหล่านั้น
พระสาวกทั้งหลายฉันแล้วก็หายจากโรคปวดศีรษะอย่างฉับพลัน จากชาตินั้นท่านไปเกิดเป็นพรหมอยู่พรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี ได้ทำบุญสำคัญคือสร้างวัดให้พระได้อยู่ปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งจัดหายามาไว้ให้พระยามเจ็บป่วย ท่านยังได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีเมืองโกสัมพี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ ในปัจจุบันชาติที่แม้จะมีอายุ ๘๐ ปีแล้วก็ยังไม่เคยเจ็บป่วย พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธดังกล่าวมาแล้ว
พระปิณโฑลภารทวาชะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นราชสีห์อยู่ที่ภูเขาจิตรกูฎ ซึ่งอยู่ด้านหน้าป่าหิมพานต์ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ ทรงเห็นว่าราชสีห์มีอุปนิสัยสมควรโปรด จึงได้เสด็จไปยังถ้ำของราชสีห์ เวลาที่ราชสีห์ออกไปหากิน ก็เสด็จเข้าไปในถ้ำ แล้วประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่กลางอากาศภายในถ้ำนั้น พระรัศมีแผ่ซ่านออกมาจากพระวรกาย
ราชสีห์กลับจากหากิน เห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ แผ่พระรัศมีอยู่ภายในถ้ำแล้วเกิดความเลื่อมใส กุศลวิบากที่สะสมไว้แต่อดีตชาติกระตุ้นเตือนให้ปรารถนาจะทำพุทธบูชา จึงออกไปคาบดอกกรรณิกามาปูเป็นอาสนะถวายพระพุทธเจ้า โดยเริ่มปูจากพื้นดินให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงช่วงที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งในอากาศนั้น จากนั้นราชสีห์ก็ได้ยืนกระโหย่งประคองดอกบัวบูชาพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดคืน ครั้นรุ่งเช้าก็คาบดอกไม้เก่าทิ้ง แล้วนำดอกไม้ใหม่มาปูเป็นอาสนะถวายอีก ราชสีห์ทำอยู่อย่างนี้ตลอด ๗ วัน วันสุดท้ายพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงออกจากนิโรธสมาบัติ มาประทับอยู่ที่ประตูถ้ำ ราชสีห์ทำประทักษิณ (เดินเวียนขวา) ถวายพระพุทธเจ้า ๓ รอบ แล้วบันลือสีหนาท พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เจ้าซึ่งเกิดเป็นคนแล้ว จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ และจักได้บรรลุอรหัตผล ได้รับเอตทัคคะด้านบันลือสีหนาท”
ครั้นตรัสพยากรณ์แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จจากไป ราชสีห์มองตามพระพุทธเจ้าเสด็จด้วยความรักและอาลัยอย่างสุดซึ้ง จนไม่สามารถจะข่มไว้ได้ จึงหัวใจแตกตายในที่สุด ด้วยจิตที่ยังผูกพันในพระพุทธเจ้า ตายจากชาตินั้นแล้วก็กลับมาเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี เมื่อเจริญวัยได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมเนืองๆ และได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้เกิดเป็นบุตรปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วได้บันลือสีหนาท คือ ประกาศให้ผู้ที่ยังมีความสงสัยในมรรคและผลถามท่านได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบันลือสีหนาท ดังกล่าวมาแล้ว
วาจานุสรณ์
พระพากุละ วันที่จะนิพพาน พระจำนวนมากมาประชุมกันเพื่อเยี่ยมท่านและถวายสักการะ ท่านได้ให้โอวาทพระเหล่านั้นว่า
ผู้ใดเอางานที่ควรทำก่อนมาทำทีหลัง
ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะที่จะนำสุขมาให้
และย่อมเดือดร้อนภายหลัง
บุคคลควรพูดอย่างที่ทำ แต่ไม่ควรพูดโดยยังมิได้ทำ
บุคคลที่พูดแต่ไม่ทำ บัณฑิตย่อมกำหนดได้ว่ามีมาก
พระปิณโฑลภารทวาชะ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ท่านมีความประสงค์จะช่วยเพื่อน ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้รู้จักให้ทานเป็นการเสียสละ แต่เพื่อนไม่เข้าใจ กลับคิดว่าท่านทำเพื่อตัวท่านเอง เพื่อให้เพื่อนเข้าใจที่ถูกต้อง ท่านจึงกล่าวว่า
ชีวิตของเรานี้ เป็นอยู่อย่างเหมาะสม
อาหารอย่างเดียว ไม่ทำให้จิตสงบได้
เมื่อก่อนนี้เราเห็นแต่เพียงว่า ร่างกายอยู่ได้ด้วยอาหาร
จึงออกแสวงหาการไหว้ การบูชา จากตระกูลทั้งหลายนั้น
ซึ่งผู้รู้ทั้งหลาย เรียกกันว่า เปือกตม
มันเป็นลูกศรที่แหลมลึก ถอนออกยาก
คนต่ำช้าเท่านั้นจึงจะละสักการะได้ยาก
คำพูดนี้ทำให้เพื่อนผู้เป็นมัจฉาทิฏฐิเข้าใจท่านได้ถูกต้อง เขากลายเป็นสัมมาทิฎฐินับแต่วันนั้น
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 129 สิงหาคม 2554 โดย ผศ.ท.ดร.บร.รรจบ บรรณรุจิ)
บั้นปลายชีวิต
พระพากุละ แม้จะบวชเมื่ออายุได้ ๘๐ ปี ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก ๘๐ ปี รวมอายุได้ ๑๖๐ ปี วันนิพพาน ท่านนั่งเข้าเตโชสมาบัติท่ามกลางพระสงฆ์ แล้วอธิษฐานให้เกิดไฟลุกไหม้ร่างกายของท่านหลังจากนิพพานแล้ว เพื่อศพของท่านจะได้ไม่เป็นภาระแก่บุคคลอื่นต่อไป
พระปิณโฑลภารทวาชะ แม้จะไม่มีกล่าวถึงบั้นปลายชีวิตของท่าน แต่ก็สันนิษฐานได้ว่า ท่านคงจะมีชีวิตอยู่จนถึงช่วงหลังพุทธปรินิพพาน
เอตทัคคะ-อดีตชาติ
พระพากุละ และพระปิณโฑลภารทวาชระ ได้รับตำแหน่งเอตทัคคะทั้ง ๒ รูป พระพากุละ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธ ส่วนพระปิณโฑลภารทวาชะ พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบันลือสีหนาท
พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระอสีติมหาสาวก ๒ รูปนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ตามความสามารถในชาติปัจจุบัน และตามที่ท่านตั้งจิตปรารถนาไว้ในอดีตชาติ
พระพากุละ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองจันทวดี เมื่อเจริญวัยแล้วได้ศึกษาไตรเพท ครั้นจบแล้วเห็นว่าไม่มีสาระพอที่จะเปลื้องตนให้พ้นทุกข์ได้ จึงสละเพศฆราวาสออกบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญฌานจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ต่อมาได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี และฟังธรรมจากพระองค์ คราวหนึ่งพระพุทธเจ้า ทรงประชวรด้วยพระโรคลม ท่านทราบแล้วจึงไปยังเชิงเขา เก็บเอาพันธุ์ไม้ต่างๆ มาปรุงเป็นพระโอสถถวาย ครั้นพระพุทธเจ้าเสวยแล้วพระโรคลมก็สงบ
ท่านเกิดปีติโสมนัส จึงตั้งความปรารถนาว่า ไม่ว่าจะเกิดในชาติใด ขออย่าได้เป็นโรคแม้แต่เพียงปวดศีรษะ จากชาตินั้นท่านไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลก ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าปทุมุตตระนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี วันหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับพวกชาวเมืองเพื่อฟังธรรม เห็นพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระสาวกรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธ แล้วเกิดศรัทธาปรารถนาจะได้เป็นเช่นพระสาวกรูปนั้นบ้าง
ท่านแสดงศรัทธาให้ปรากฏ ด้วยการถวายทานแด่พระพุทธเจ้าและพระสาวก แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาของท่าน พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูความเป็นไปในอนาคตของท่านด้วยพระญาณ แล้วทรงเห็นว่าความปรารถนาของท่านสำเร็จได้แน่ จึงทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ จักได้บรรลุอรหัตผล และจักได้รับเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธ”
ท่านได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์แล้วเกิดปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าวิปัสสี
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น ท่านออกบวชเป็นฤาษีและได้บำเพ็ญฌานจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ต่อมาได้เฝ้าพระพุทธเจ้าและฟังธรรมอยู่เนืองๆ และนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คราวหนึ่งเห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าอาพาธด้วยโรคปวดศีรษะ อันเนื่องมาจากละอองเกสรดอกไม้พิษ ซึ่งปลิวมาจากป่าหิมพานต์ จึงออกไปรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆ มาปรุงเป็นยาถวายพระสาวกเหล่านั้น
พระสาวกทั้งหลายฉันแล้วก็หายจากโรคปวดศีรษะอย่างฉับพลัน จากชาตินั้นท่านไปเกิดเป็นพรหมอยู่พรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองพาราณสี ได้ทำบุญสำคัญคือสร้างวัดให้พระได้อยู่ปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งจัดหายามาไว้ให้พระยามเจ็บป่วย ท่านยังได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีเมืองโกสัมพี ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ ในปัจจุบันชาติที่แม้จะมีอายุ ๘๐ ปีแล้วก็ยังไม่เคยเจ็บป่วย พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านไม่มีอาพาธดังกล่าวมาแล้ว
พระปิณโฑลภารทวาชะ ตั้งจิตปรารถนาไว้ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นราชสีห์อยู่ที่ภูเขาจิตรกูฎ ซึ่งอยู่ด้านหน้าป่าหิมพานต์ วันหนึ่งพระพุทธเจ้าตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ ทรงเห็นว่าราชสีห์มีอุปนิสัยสมควรโปรด จึงได้เสด็จไปยังถ้ำของราชสีห์ เวลาที่ราชสีห์ออกไปหากิน ก็เสด็จเข้าไปในถ้ำ แล้วประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่กลางอากาศภายในถ้ำนั้น พระรัศมีแผ่ซ่านออกมาจากพระวรกาย
ราชสีห์กลับจากหากิน เห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ แผ่พระรัศมีอยู่ภายในถ้ำแล้วเกิดความเลื่อมใส กุศลวิบากที่สะสมไว้แต่อดีตชาติกระตุ้นเตือนให้ปรารถนาจะทำพุทธบูชา จึงออกไปคาบดอกกรรณิกามาปูเป็นอาสนะถวายพระพุทธเจ้า โดยเริ่มปูจากพื้นดินให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงช่วงที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งในอากาศนั้น จากนั้นราชสีห์ก็ได้ยืนกระโหย่งประคองดอกบัวบูชาพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดคืน ครั้นรุ่งเช้าก็คาบดอกไม้เก่าทิ้ง แล้วนำดอกไม้ใหม่มาปูเป็นอาสนะถวายอีก ราชสีห์ทำอยู่อย่างนี้ตลอด ๗ วัน วันสุดท้ายพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงออกจากนิโรธสมาบัติ มาประทับอยู่ที่ประตูถ้ำ ราชสีห์ทำประทักษิณ (เดินเวียนขวา) ถวายพระพุทธเจ้า ๓ รอบ แล้วบันลือสีหนาท พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
“ในอีก ๑๐๐,๐๐๐ กัปข้างหน้า พระพุทธเจ้าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เจ้าซึ่งเกิดเป็นคนแล้ว จักได้ออกบวชเป็นสาวกของพระองค์ และจักได้บรรลุอรหัตผล ได้รับเอตทัคคะด้านบันลือสีหนาท”
ครั้นตรัสพยากรณ์แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จจากไป ราชสีห์มองตามพระพุทธเจ้าเสด็จด้วยความรักและอาลัยอย่างสุดซึ้ง จนไม่สามารถจะข่มไว้ได้ จึงหัวใจแตกตายในที่สุด ด้วยจิตที่ยังผูกพันในพระพุทธเจ้า ตายจากชาตินั้นแล้วก็กลับมาเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองหงสวดี เมื่อเจริญวัยได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมเนืองๆ และได้ทำบุญอื่นๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้เกิดเป็นบุตรปุโรหิตของพระเจ้าอุเทน ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล อาศัยเหตุที่ตั้งจิตปรารถนามาแต่อดีตชาติ ประกอบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันชาติ ที่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้วได้บันลือสีหนาท คือ ประกาศให้ผู้ที่ยังมีความสงสัยในมรรคและผลถามท่านได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านบันลือสีหนาท ดังกล่าวมาแล้ว
วาจานุสรณ์
พระพากุละ วันที่จะนิพพาน พระจำนวนมากมาประชุมกันเพื่อเยี่ยมท่านและถวายสักการะ ท่านได้ให้โอวาทพระเหล่านั้นว่า
ผู้ใดเอางานที่ควรทำก่อนมาทำทีหลัง
ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะที่จะนำสุขมาให้
และย่อมเดือดร้อนภายหลัง
บุคคลควรพูดอย่างที่ทำ แต่ไม่ควรพูดโดยยังมิได้ทำ
บุคคลที่พูดแต่ไม่ทำ บัณฑิตย่อมกำหนดได้ว่ามีมาก
พระปิณโฑลภารทวาชะ ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ท่านมีความประสงค์จะช่วยเพื่อน ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้รู้จักให้ทานเป็นการเสียสละ แต่เพื่อนไม่เข้าใจ กลับคิดว่าท่านทำเพื่อตัวท่านเอง เพื่อให้เพื่อนเข้าใจที่ถูกต้อง ท่านจึงกล่าวว่า
ชีวิตของเรานี้ เป็นอยู่อย่างเหมาะสม
อาหารอย่างเดียว ไม่ทำให้จิตสงบได้
เมื่อก่อนนี้เราเห็นแต่เพียงว่า ร่างกายอยู่ได้ด้วยอาหาร
จึงออกแสวงหาการไหว้ การบูชา จากตระกูลทั้งหลายนั้น
ซึ่งผู้รู้ทั้งหลาย เรียกกันว่า เปือกตม
มันเป็นลูกศรที่แหลมลึก ถอนออกยาก
คนต่ำช้าเท่านั้นจึงจะละสักการะได้ยาก
คำพูดนี้ทำให้เพื่อนผู้เป็นมัจฉาทิฏฐิเข้าใจท่านได้ถูกต้อง เขากลายเป็นสัมมาทิฎฐินับแต่วันนั้น
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 129 สิงหาคม 2554 โดย ผศ.ท.ดร.บร.รรจบ บรรณรุจิ)