xs
xsm
sm
md
lg

บทความจาก นสพ. ผู้จัดการ

x

สื่อใจสมานสร้างสรรค์:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เราจะรู้จักตัวเอง ก็ต้องรู้สึกตัวขึ้นมา
จิตก็เหมือนกัน เมื่อจิตรู้สึกตัวของมันแล้ว
ต้องทวนกระแสเข้ามาหาตัวเอง ไม่ขยายออกไปนอก

เรื่องที่ 108 ชั้นเชิงการปฏิบัติทางจิต

สัปดาห์สุดท้ายของปี 2552 ลองมาสำรวจตัวตนกันดีกว่าว่า ตลอดปีที่ผ่านมาอัตตภาวะส่วนไหนที่ทำร้ายใจเราได้มากที่สุด ปีหน้าฟ้าใหม่ 2553 แม้จะถูกขนานนามล่วงหน้าว่าเป็นปีเสือดุ แต่หากใจเรานิ่งอยู่เหนือภาวะสิ่งเร้าได้ มลพิษเหล่านั้นเป็นได้แค่น้ำกลิ้งบนใบบัว ถึงเสือดุจะยกโขยงกันมาทั้งครอบครัว ใจของผู้ที่ฝึกนิ่งได้แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรๆ

ท่านพระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี) เจ้าอาวาส วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระวิปัสสนาจารย์ชั้นครู ได้แนะนำวิธีการเจริญสติพิจารณาความว่างแบบมีสภาวะรองรับ และการเข้าถึงธาตุรู้ เฝ้าดูสภาพจิตเกิดดับ ไว้ในหนังสือ ชั้นเชิงการปฏิบัติทางจิต ดังนี้

*เริ่มจาก วิธีพิจารณาความว่างแบบมีสภาวะรองรับ

ความว่างเปล่าไม่ได้เป็นสภาวปรมัตถ์ ไม่ใช่รูปนาม ไม่ใช่ขันธ์ห้า มันเป็นสมมติอย่่างหนึ่ง

เพราะฉะนั้น หากจะให้เกิดปัญญาต้องโยนิโสมนสิการ ทำความรู้ให้ตรงแยบคาย คือ จะต้องสังเกตสภาวปรมัตถ์ในขณะนั้นๆ ให้ออกให้ได้

สิ่งที่เป็นสภาวปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนั้น ก็คือจิต
เพราะจิตมีอยู่ตลอดเวลา เกิดดับร่วมกับเจตสิกอยู่ตลอดเวลา

ถามว่า จิตขณะนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร จิตในขณะนั้น ก็คือสภาพรู้ความว่าง ส่วนอาการของจิตในขณะนั้น ก็คือความสุข คือปีติ คือความสงบหรือความเฉย นี่แหละคือสภาวปรมัตถ์

ฉะนั้น ถ้าหากจะกำหนดรู้สภาวปรมัตถ์ต้องรู้กลับเข้ามาที่จิต ระลึกเข้ามาที่อาการในจิต ตัวสติก็เกิดกับจิต ก็เรียกว่า จิตต้องรู้จิต

จิตก็คือสภาพรู้อารมณ์ ก็คือ รู้ต้องดูตัวรู้ รู้ต้องย้อนมาที่รู้ รู้ต้องย้อนมาที่ผู้รู้

เราจะรู้จักตัวเอง ก็ต้องรู้สึกตัวขึ้น จิตก็เหมือนกัน จิตมันจะรู้จักตัวมัน มันต้องรู้สึกตัว เมื่อจิตรู้สึกตัวของมันแล้ว ก็รู้ตัวมันเอง ต้องทวนกระแสไม่ขยายออกไปนอกต้องกลับทวนกระแสเข้ามาหาตัวเอง

คำว่า ตัว ก็ไม่ใช่เป็นตัวเป็นรูปเป็นร่างอะไร เพราะจิตเป็นเพียงธาตุรู้ สภาพรู้ รู้ในที่นี้ก็ไม่ใช่เป็นรู้แบบปัญญา แต่มันรู้อารมณ์ คำว่ารู้อารมณ์ก็คือมันรับอารมณ์ ซึ่งมีความเร็วมากและไม่มี รูปร่างจิต

ส่วนประเด็นที่ว่า จิตเกิดดับคืออย่างไร

ถ้าหากสติสัมปชัญญะกลับดูเข้ามาที่จิตเป็น มันจะเห็นทันทีว่าดับ คือ เห็นสภาพรู้ แล้วก็หมดลง คือ รู้แล้วก็หมดสภาพรู้อย่างรวดเร็วมาก เรียกว่าเข้าไปสังเกตได้นิดหนึ่งก็หมดลง แล้วก็รู้ใหม่

รู้บ่อยๆ ก็จะเห็นจิตมีความเกิดดับ ก็เท่ากับมีปัญญา
มีญาณ มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น มีสภาวะรองรับอยู่ ไม่ได้ว่างเปล่า

และในความหมายสภาพของธาตุรู้ท่านพระครูอธิบายว่า

ตัวสติเป็นตัวระลึก ตัวสัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณา หรือจะรวมเรียกว่า ตัวดูอันนี้น่ะเป็นส่วนสำคัญสำหรับนักปฏิบัติวิปัสสนาที่จะต้องก้าวเข้ามาจุดนี้ให้เป็น

ข้อพึงพิจารณา คือ วิปัสสนาต้องมีรูปมีนาม คือมีสภาวปรมัตถ์ให้รับให้รู้ตลอดเวลา ขณะใดไม่มีให้รู้ ก็แสดงว่าตกจากสภาวปรมัตถ์ จะต้องปรับถูกรู้ถูก

การรู้จักจิตใจจะต้องมีความนิ่มนวล มีความเบา มีความสละสลวย มีความละเอียดอ่อน

ผู้ปฏิบัติบางคนที่ขาดสติในการพิจารณาความว่าง มายาขจิตอาจสร้างภาพนิมิตขึ้น ให้รู้ว่านิมิตต่างๆ นั้นเป็นสมมติไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่ใช่ทางเดินของวิปัสสนาปรมัตถ์นั้น คือ ความรู้สึกเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่าง

เวลามันสู่โลกปรมัตถ์นี่ มันไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีความหมาย ไม่มีชื่อภาษาอะไรต่างๆ

ให้สังเกตว่า จิตที่ขาดสติกำกับ นอกจากมายาขจิตจะสร้างภาพนิมิตแล้ว ยังสร้างเสียงพากย์ในใจ สื่อภาษาเป็นคำพูดอีกด้วย คนที่รู้ไม่ทันก็เข้าใจว่า จิตมันคุยกัน ที่จริงแล้วก็คือ จิตคิด นั่นแหละ

การกำหนดรู้ให้ตรง เวลาที่จิตมันมีคำพูดมีภาษา ก็รู้ที่ความคิด รู้ที่ความตรึก รู้ที่ความนึก รู้ที่ความจดจำนั่นแหละ เรียกว่า รู้เข้าไปที่ปรมัตถ์ ภาษาคำพูดก็จะอันตรธานไป เรียกว่าสามารถระงับความปรุงแต่งให้หยุดลงชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็จะมีการปรุง มีการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีก หากปล่่อยให้ปรุงยาว ก็จะนึกคิดเป็นเรื่องเป็นราว

ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติไปแยบคายแล้ว จะเห็นต้นกำเนิดของความคิด พอจิตมันตรึกก็รู้ทัน พอนึกก็รู้ทัน มันก็จะไม่ขยายยาวออกไปเป็นเรื่องเป็นราว มันจะสลายตัวหยุดปรุงแต่ง เพราะพอเริ่มมีการปรุงนิดก็รู้ทัน มันก็ไม่ไปไหน

ถ้ารู้ตรงบ่อยๆ ปล่อยวางถูกต้อง จิตก็จะเกิดสมาธิขึ้นโดยธรรมชาติ การรู้ที่จิตบ่อยๆ นี่ รู้ทันการปรุงตรงตามความเป็นจริงตามสภาวปรมัตถ์ ปรากฏบ่อยๆ จะเกิดสมาธิขึ้นมาโดยไม่ต้องสร้างสมาธิ

สมาธิที่เกิดจากการมีสติตามรู้ความว่างแบบมีสภาวะรองรับ ก่อให้เกิดปัญญา คือ ความรู้ตรง รู้แจ้งตามความเป็นจริง คือข้อสังเกตที่ขอฝากไว้ให้พิจารณากัน

เวลาสมาธิแบบมีสติกำกับจะเกิด จะรู้สึกว่าจิตใจสงบดื่มด่ำไปอีกระดับหนึ่ง คือ ว่างลงไป แต่มันเป็นความว่างแบบมีสภาวะ ว่างในที่นี้คือว่างจากสมมติ ว่างจากชื่อภาษาและความหมาย ต่างๆ ว่างจากความปรุงแต่ง แต่มันเป็นสภาวะ เป็นธาตุรู้*
กำลังโหลดความคิดเห็น