“สดศรี” ยัน คดียุบพรรครื้อฟื้นไม่ได้ เหตุเป็นคดีการเมือง และเป็นการวินิจฉัยโดยตุลาการรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2550 ส่วนพยานเบิกความเท็จเป็นเรื่องของคดีอาญา แย้ม กกต.จ้องเอาผิดย้อนหลังฐานให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน ย้ำ ทรท.หมดสภาพไปแล้วตามคำสั่งศาล รธน.
วันนี้ (18 พ.ย.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองกล่าวถึงกรณีที่ นายชวการ โตสวัสดิ์ และ นายสุขสันต์ ชัยเทศ พยานคดียุบพรรคไทยรักไทย ออกมาเปิดเผยว่าได้รับการว่าจ้างจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้มาให้การเท็จต่อศาล ว่า การรื้อฟื้นคดีนี้นั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณานั้น เมื่อดู พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขั้นมาพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 ได้ระบุว่า คดีที่จะสามารถรื้อฟื้นได้นั้นต้องเป็นคดีอาญา แต่คดีนี้เป็นคดีการเมือง และวินิจฉัยโดยตุลาการรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 ดังนั้น เรื่องการเบิกความเท็จน่าจะไปดำเนินคดีอาญา ว่า พยานทั้งสองได้ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่
นางสดศรี กล่าวต่อว่า การยุบพรรคไทยรักไทยนั้น เป็นการยุบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 มาตรา 66(1) และ (3) ซึ่งยกเลิกไปแล้ว แต่เทียบเคียงได้กับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับปัจจุบัน มาตรา 94 รวมทั้งสามารถนำมาเทียบเคียงกับ มาตรา 104 เรื่องการกลั่นแกล้ง หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรค ก็จะมีโทษยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นกัน ดังนั้น ในตอนนี้เราคงไม่สามรถรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยได้แต่ในส่วนอื่นเช่นเรื่องการให้การเท็จหรือการกลั่นแกล้งก็สามารถเดินหน้าต่อได้ แต่ต้องรอศาลพิจารณาเสียก่อน
“คำวินิจฉัยยุบพรรคของตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น ได้รับการรองรับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่ให้การรับรองการกระทำใดๆ ที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่ดำเนินการไปแล้วน่าจะถึงที่สุด ซึ่งก็จำได้ว่าในขณะนั้นก็มีการพิจารณาพรรคประชาธิปัตย์ว่า กลั่นแกล้งหรือไม่ควบคู่กันไปแล้ว และการเพิกถอนคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญก็ยังไม่เคยมี แต่หากมีข้อติดใจผู้จะวินิจฉัยเรื่องนี้ได้คือศาลรัฐธรรมนูญ” นางสดศรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.จะดำเนินการกับทั้งสองในฐานะที่ให้การเท็จกับ กกต.หรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า คงต้องรอศาลตัดสินเสียก่อนว่าเป็นการให้การเท็จ จริงหรือไม่ กกต.จึงจะดำเนินการเอาผิดฐานให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และอาจต้องฟ้องคดีอาญาเช่นเดียวกัน แต่อย่าลืมว่าตนเองเคยให้การต่อหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นการให้การเท็จก็จะต้องโดนโทษหนักกว่าปกติแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การออกมาเช่นนี้เป็นการดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต.หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ต้องแยกศาลรัฐธรรมนูญออกมา เพราะศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ แต่ตุลาการรัฐธรรมนูญในขณะนั้นได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และหมดวาระไปแล้ว เมื่อทุกอย่างได้พิจารณาจบก็ถือว่าจบอีกทั้งศาลไม่ได้ฟังเฉพาะพยานเท่านั้น แต่ฟังเรื่องอื่นประกอบด้วย ขณะที่ในส่วน กกต.เรื่องนี้ก็พิจารณาในสมัยของ กกต. ชุดที่แล้ว ซึ่งมี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา ซึ่งถือว่าเป็นคนละชุดกับปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามีการสอบพยานในลักษณะใด จึงไม่น่าเป็นการดิสเครดิต
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะสามารถฟื้นพรรคไทยรักไทยขึ้นมาได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ตอนนี้ถือว่าพรรคไทยรักไทยหมดสภาพไปแล้ว เพราะมีการชำระบัญชี ทุกอย่างถือว่าเสร็จสิ้น แต่หากจะพิจารณาก็ต้องดูเฉพาะเรื่องการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ 111 กรรมการบริหารพรรคว่าจะกลับมาได้หรือไม่ ซึ่ง กกต.ก็ไม่สามารถไปก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้