ศาลนัดสอบคำให้การ 4 อดีต กกต.ออกระเบียบขึ้นเงินเดือนตัวเอง"ปริญญา-วีระชัย-จารุภัทร" ปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมแถลงขอสืบพยาน 24 ปาก ด้าน"วาสนา" อดีตประธาน กกต. ยังไม่มีทนาย ศาลเลื่อนสอบคำให้การ 18 ธ.ค.นี้
วานนี้ (9 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีที่หมายเลขดำที่ อ.3475/2552 อ.3015/2552 และ อ.3302/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. , นายปริญญา นาคฉัตรีย์, นายวีระชัย แนวบุญเนียร, พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตกกต. เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ป.อาญา ม.157 ประกอบ ม. 83 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.4 กรณีที่ออกระเบียบกกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของ กกต. พ.ศ. 2547 กำหนดเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือนให้กับพวกจำเลย เดือนละ 20,000 บาท โดยให้ใช้บังคับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 47 เป็นต้นไป
โดย พล.ต.อ.วาสนา, นายปริญญา, นายวีระชัย และ พล.อ.จารุภัทร จำเลยทั้ง 4 มาศาล ซึ่งศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้นายปริญญา, นายวีระชัย และพล.อ.จารุภัทร ฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ ส่วนพล.ต.อ.วาสนา ได้แถลงว่า ขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความสู้คดีจึงขอเวลา 15 วัน ในการหาทนายความ
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า พล.ต.อ.วาสนา จำเลยยังไม่มีทนายความ ก็ไม่อาจสอบคำให้การได้ในวันนี้ จึงเลื่อนนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีในส่วนของ พล.ต.อ.วาสนา ในวันที่ 18 ธ.ค. เวลา 09.00 น.
ต่อมาทนายความของ นายปริญญา นายวีระชัย และ พล.อ.จารุภัทร ได้แถลงบัญชีพยานโดยฝ่ายนายปริญญา ขอสืบพยานบุคคล 11 ปาก ใช้เวลา 4 นัด ฝ่ายนายวีระชัย สืบพยาน 7 ปาก ใช้เวลา 4 นัด พร้อมยื่นพยานเอกสารนำสืบสู้คดี ประกอบด้วยระเบียบกกต. ใบรับรองแพทย์ของนายวีระชัย และเอกสารวิชาการของสถาบันพระปกเกล้าฯ และฝ่าย พล.อ.จารุภัทร ขอสืบพยาน 6 ปาก ใช้เวลา 1 นัด ขณะที่อัยการแถลงเตรียมพยานบุคคลนำสืบรวม 18 ปาก ใช้เวลา 6 นัด
ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้โจทก์จำเลยนำสืบพยานบุคคลตามที่แถลงแต่ศาลให้ฝ่ายนายปริญญา และนายวีระชัย ใช้เวลาสืบพยานได้คนละ 2 นัด ส่วนที่อัยการขอรวมสำนวนคดีที่ยื่นฟ้อง พล.อ.จารุภัทร เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.3302/2552 กับสำนวนที่ยื่นฟ้องนายปริญญา และนายวีระชัย เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.3015/2552 นั้น เนื่องจากมีพยานหลักฐานชุดเดียวกัน ศาลเห็นว่าเพื่อความสะดวกในการพิจารณาคดี ซึ่งทั้งสองสำนวนมีพยานหลักฐานชุดเดียวกันจึงอนุญาตให้รวมสำนวนคดีทั้งสองและให้นายปริญญา เป็นจำเลยที่ 1 นายวีระชัย เป็นจำเลยที่ 2 และ พล.อ.จารุภัทร เป็นจำเลยที่ 3
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณาแล้ว พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ขอพูดอะไรและไม่เป็นไร หากอัยการจะมีการนำคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาลงโทษ ป.ป.ช.ทั้งคณะ มาใช้ประกอบการพิจารณาคดีนี้
วานนี้ (9 พ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีที่หมายเลขดำที่ อ.3475/2552 อ.3015/2552 และ อ.3302/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. , นายปริญญา นาคฉัตรีย์, นายวีระชัย แนวบุญเนียร, พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตกกต. เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ป.อาญา ม.157 ประกอบ ม. 83 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.4 กรณีที่ออกระเบียบกกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของ กกต. พ.ศ. 2547 กำหนดเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือนให้กับพวกจำเลย เดือนละ 20,000 บาท โดยให้ใช้บังคับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 47 เป็นต้นไป
โดย พล.ต.อ.วาสนา, นายปริญญา, นายวีระชัย และ พล.อ.จารุภัทร จำเลยทั้ง 4 มาศาล ซึ่งศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้นายปริญญา, นายวีระชัย และพล.อ.จารุภัทร ฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ ส่วนพล.ต.อ.วาสนา ได้แถลงว่า ขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความสู้คดีจึงขอเวลา 15 วัน ในการหาทนายความ
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า พล.ต.อ.วาสนา จำเลยยังไม่มีทนายความ ก็ไม่อาจสอบคำให้การได้ในวันนี้ จึงเลื่อนนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีในส่วนของ พล.ต.อ.วาสนา ในวันที่ 18 ธ.ค. เวลา 09.00 น.
ต่อมาทนายความของ นายปริญญา นายวีระชัย และ พล.อ.จารุภัทร ได้แถลงบัญชีพยานโดยฝ่ายนายปริญญา ขอสืบพยานบุคคล 11 ปาก ใช้เวลา 4 นัด ฝ่ายนายวีระชัย สืบพยาน 7 ปาก ใช้เวลา 4 นัด พร้อมยื่นพยานเอกสารนำสืบสู้คดี ประกอบด้วยระเบียบกกต. ใบรับรองแพทย์ของนายวีระชัย และเอกสารวิชาการของสถาบันพระปกเกล้าฯ และฝ่าย พล.อ.จารุภัทร ขอสืบพยาน 6 ปาก ใช้เวลา 1 นัด ขณะที่อัยการแถลงเตรียมพยานบุคคลนำสืบรวม 18 ปาก ใช้เวลา 6 นัด
ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้โจทก์จำเลยนำสืบพยานบุคคลตามที่แถลงแต่ศาลให้ฝ่ายนายปริญญา และนายวีระชัย ใช้เวลาสืบพยานได้คนละ 2 นัด ส่วนที่อัยการขอรวมสำนวนคดีที่ยื่นฟ้อง พล.อ.จารุภัทร เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.3302/2552 กับสำนวนที่ยื่นฟ้องนายปริญญา และนายวีระชัย เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.3015/2552 นั้น เนื่องจากมีพยานหลักฐานชุดเดียวกัน ศาลเห็นว่าเพื่อความสะดวกในการพิจารณาคดี ซึ่งทั้งสองสำนวนมีพยานหลักฐานชุดเดียวกันจึงอนุญาตให้รวมสำนวนคดีทั้งสองและให้นายปริญญา เป็นจำเลยที่ 1 นายวีระชัย เป็นจำเลยที่ 2 และ พล.อ.จารุภัทร เป็นจำเลยที่ 3
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณาแล้ว พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ขอพูดอะไรและไม่เป็นไร หากอัยการจะมีการนำคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาลงโทษ ป.ป.ช.ทั้งคณะ มาใช้ประกอบการพิจารณาคดีนี้