ความเดิมจากตอนที่แล้ว
เรื่องราวของผู้กล่าวคำว่า “นโม” ๗ คน ในจำนวน ๘ คนที่ปรากฏในพระสูตร ได้แก่ ๑.พรหมายุพราหมณ์ ๒.ชาณุโสณีพราหมณ์ ๓.พระเจ้าปเสนทิโกศล ๔.ท้าวสักกะจอมเทพ ๕.ธนัญชานีพราหมณ์ ๖.อารามทัณฑพราหมณ์ ๗.การณปาลีพราหมณ์
๘.พระเจ้ามหินท์ ปรากฏอยู่ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย ธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑ เรื่องที่ ๘ สญชัย ตอน บุรพกรรมของชฎิล ๓ พี่น้อง ซึ่งมีพรรณนาไว้ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์
ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ก็กัสสปะ ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น ทำกรรมอะไรไว้เล่า?”
พระองค์ตรัสว่า “เขาปรารถนาพระอรหัตเหมือนกัน ทำบุญแล้ว ก็ใน ๙๒ กัลป์แต่นี้ไป พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือพระติสสะพุทธเจ้า ๑ พระผุสสะพุทธเจ้า ๑ เสด็จอุบัติแล้ว
พระราชาพระนามว่า พระเจ้ามหินท์ ทรงเป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าผุสสะ เมื่อพระผุสสะพุทธเจ้า ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระโอรสองค์เล็กของพระเจ้ามหินท์ ได้เป็นพระอัครสาวก บุตรปุโรหิตได้เป็นพระอัครสาวก รูปที่ ๒
พระเจ้ามหินท์ได้เสด็จไปยังสำนักพระศาสดาผุสสะพุทธเจ้า ทรงตรวจดูชนเหล่านั้นว่า “ราชโอรสองค์ใหญ่ของเราเป็นพระพุทธเจ้า ราชโอรสองค์เล็กเป็นอัครสาวก บุตรปุโรหิตเป็นพระอัครสาวก รูปที่ ๒” ทรงเปล่งพระอุทาน ๓ ครั้งว่า “พระพุทธเจ้าของข้าพเจ้า พระธรรมของข้าพเจ้า พระสงฆ์ของข้าพเจ้า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)” แล้วหมอบ ลงแทบบาทมูลของพระผุสสะพุทธเจ้า ทรงปฏิญญาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้เป็นดุจเวลาที่หม่อมฉันนั่งหลับ ในที่สุดอายุประมาณเก้าหมื่นปี ขอพระองค์อย่าเสด็จไปสู่ประตูเรือนของชนเหล่าอื่น จงทรงรับปัจจัย ๔ ของหม่อมฉัน ตลอดเวลาที่หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่” แล้วพระองค์ทรงทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากเป็นประจำ
พระเจ้ามหินท์ทรงมีพระราชโอรสอีก ๓ พระองค์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่มีนักรบเป็นบริวาร ๕๐๐พระองค์กลางมี ๓๐๐ พระองค์เล็กมี ๒๐๐ พระราชโอรส ๓ พระองค์ต่างทูลขอโอกาสกะพระบิดาว่า “แม้หม่อมฉันทั้งหลายจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย”
แม้ทูลอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้ เมื่อปัจจันตชนบทก่อการกบฏ พระราชโอรสทั้ง ๓ องค์ ถูกส่งไประงับเหตุนั้น ปราบกบฏจนราบคาบ แล้วมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามหินท์
พระเจ้ามหินท์ทรงสวมกอดพระราชโอรสทั้งสามแล้ว จุมพิตที่ศีรษะ ตรัสว่า “พ่อทั้งหลาย บิดาให้พรแก่พวกเจ้า” พระราชโอรสทั้งสามนั้นทูลว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” ทำพระพรให้เป็นอันถือเอาแล้ว โดยกาลล่วงไปสองสามวัน พระเจ้ามหินท์ตรัสอีกว่า “พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าจงรับพรเสียเถิด” พระโอรสทูลว่า “พระเจ้าข้า ความประสงค์ด้วยสิ่งไรๆ อื่นของหม่อมฉันไม่มี ตั้งแต่บัดนี้ หม่อมฉันจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย ขอพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉันเถิด”
พระเจ้ามหินท์ “ให้ไม่ได้”
พระราชโอรส “เมื่อไม่พระราชทานเสมอไป ก็พระ ราชทาน เพียง ๗ ปี”
พระเจ้ามหินท์ “ให้ไม่ได้”
พระราชโอรส “ถ้ากระนั้น ก็พระราชทานเพียง ๖ ปี”
พระราชโอรสทูลขอลดระยะเวลาจาก ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน จนถึง ๓ เดือน พระเจ้ามหินท์ก็ยังคงตอบว่า “ให้ไม่ได้”
พระราชโอรส “ช่างเถิด พระเจ้าข้า ขอทรงพระราช ทาน สัก ๓ เดือน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย คนละเดือนๆ”
พระเจ้ามหินท์ “ดีละ พ่อ, ถ้ากระนั้น เจ้าจงนิมนต์ให้เสวยได้ ๓ เดือน”
พระราชโอรสทรงมีขุนคลังคนเดียวกัน สมุห์บัญชีก็คนเดียวกัน ทั้งสามพระองค์นั้นมีบุรุษหนึ่งแสนสองหมื่นเป็นบริวาร พระราชโอรสทั้งสามรับสั่งให้เรียกบริวาร เหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า “เราทั้งสามจักรับศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ ๒ ผืน อยู่ร่วมด้วยพระศาสดา ตลอดไตรมาส นี้ พวกท่านพึงรับค่าใช้จ่ายมีประมาณเท่านี้ ยังของเคี้ยวของบริโภคทุกอย่างให้เป็นไปทั่วถึงแก่ภิกษุเก้าหมื่นรูป และนักรบของเราพันหนึ่ง เพราะแต่นี้ไป พวกเราจักไม่พูดอะไร?”
พระราชโอรสทั้งสามนั้นพาบุรุษบริวารพันหนึ่ง สมา ทานศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ อยู่แต่ในวิหาร ขุนคลัง และสมุห์บัญชีได้ร่วมกันเบิกเสบียงตามวาระๆ จากเรือนคลังทั้งหลายของพระราชโอรสทั้งสาม ถวายทานตามพระดำรัส
ต่อมาวันหนึ่ง ในขณะที่เตรียมทานจัดถวายแด่ภิกษุสงฆ์อยู่นั้น บุตรของพวกกรรมกรร้องไห้ต้องการข้าวยาคูและภัตเป็นต้น กรรมกรเหล่านั้นเห็นว่าภิกษุสงฆ์ยังไม่ทันมา จึงให้แบ่งส่วนข้าวยาคูและภัตเป็นต้นแก่บุตรตน ภิกษุสงฆ์มาทำภัตตกิจตามคำอาราธนาแห่งพระราชโอรสทั้งสามเสร็จแล้ว จึงไม่เคยมีของอะไรเหลือเลย
แต่นั้นมากรรมกรต่างแบ่งส่วนข้าวยาคูและภัตเป็นต้น แก่บุตรตน ก่อนที่ภิกษุสงฆ์จะทำภัตตกิจ และในกาลต่อมา พวกกรรมกรเหล่านั้นพูดอ้างว่า “เราจะให้ข้าวยาคูและภัตเป็นต้นแก่พวกเด็ก” แล้วรับข้าวยาคูและภัตเป็น ต้นไปกินเสียเอง ทำการเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย ทำให้เมื่อเห็นอาหารที่ชอบใจก็ไม่สามารถจะอดกลั้นรอจนภิกษุสงฆ์ ทำภัตตกิจเสร็จได้ ต่างถือวิสาสะกินอาหารที่ตนชอบก่อน ภิกษุสงฆ์เสมอมา พวกกรรมกรมีประมาณแปดหมื่นสี่พันคน พวกเขากินอาหารที่พระราชโอรสทั้งสามตั้งจิตปรารถนาถวายสงฆ์แล้ว เหตุนี้เมื่อกายแตกตายไป จึงได้เกิดในเปรตวิสัย
ฝ่ายพระราชโอรส ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง สิ้นพระชนม์และตายไป ก็เกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวจากเทวโลกสู่เทวโลก ยังกาลให้สิ้นไป ๙๒ กัลป์ พระราชโอรส ๓ พี่น้องนั้นปรารถนาพระอรหัต ทำกัลยาณกรรมในกาลนั้น ด้วยประการอย่างนี้ ชฎิล ๓ พี่น้องนั้นได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกัน เราจะได้เลือกหน้าให้หามิได้
ส่วนสมุห์บัญชีของพระราชโอรส ๓ พระองค์นั้น ในชาตินี้ได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ขุนคลังได้เป็น นางวิสาขาอุบาสิกา กรรมกรของท่านทั้ง ๓ นั้น เกิดแล้วในพวกเปรต ในกาลนั้น ท่องเที่ยวอยู่ด้วยสามารถแห่งสุคติและทุคติ ในกัลป์นี้เกิดในเปรตโลกนั้นแล สิ้น ๔ พุทธันดร (พุทธันดรหนึ่งจักปรากฏแก่เปรตเหล่านั้นเหมือนวันพรุ่งนี้)
(โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 107 ตุลาคม 2552 โดยพระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)
เรื่องราวของผู้กล่าวคำว่า “นโม” ๗ คน ในจำนวน ๘ คนที่ปรากฏในพระสูตร ได้แก่ ๑.พรหมายุพราหมณ์ ๒.ชาณุโสณีพราหมณ์ ๓.พระเจ้าปเสนทิโกศล ๔.ท้าวสักกะจอมเทพ ๕.ธนัญชานีพราหมณ์ ๖.อารามทัณฑพราหมณ์ ๗.การณปาลีพราหมณ์
๘.พระเจ้ามหินท์ ปรากฏอยู่ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย ธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑ เรื่องที่ ๘ สญชัย ตอน บุรพกรรมของชฎิล ๓ พี่น้อง ซึ่งมีพรรณนาไว้ดังนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์
ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ก็กัสสปะ ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น ทำกรรมอะไรไว้เล่า?”
พระองค์ตรัสว่า “เขาปรารถนาพระอรหัตเหมือนกัน ทำบุญแล้ว ก็ใน ๙๒ กัลป์แต่นี้ไป พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือพระติสสะพุทธเจ้า ๑ พระผุสสะพุทธเจ้า ๑ เสด็จอุบัติแล้ว
พระราชาพระนามว่า พระเจ้ามหินท์ ทรงเป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าผุสสะ เมื่อพระผุสสะพุทธเจ้า ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระโอรสองค์เล็กของพระเจ้ามหินท์ ได้เป็นพระอัครสาวก บุตรปุโรหิตได้เป็นพระอัครสาวก รูปที่ ๒
พระเจ้ามหินท์ได้เสด็จไปยังสำนักพระศาสดาผุสสะพุทธเจ้า ทรงตรวจดูชนเหล่านั้นว่า “ราชโอรสองค์ใหญ่ของเราเป็นพระพุทธเจ้า ราชโอรสองค์เล็กเป็นอัครสาวก บุตรปุโรหิตเป็นพระอัครสาวก รูปที่ ๒” ทรงเปล่งพระอุทาน ๓ ครั้งว่า “พระพุทธเจ้าของข้าพเจ้า พระธรรมของข้าพเจ้า พระสงฆ์ของข้าพเจ้า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น)” แล้วหมอบ ลงแทบบาทมูลของพระผุสสะพุทธเจ้า ทรงปฏิญญาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้เป็นดุจเวลาที่หม่อมฉันนั่งหลับ ในที่สุดอายุประมาณเก้าหมื่นปี ขอพระองค์อย่าเสด็จไปสู่ประตูเรือนของชนเหล่าอื่น จงทรงรับปัจจัย ๔ ของหม่อมฉัน ตลอดเวลาที่หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่” แล้วพระองค์ทรงทำหน้าที่พุทธอุปัฏฐากเป็นประจำ
พระเจ้ามหินท์ทรงมีพระราชโอรสอีก ๓ พระองค์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่มีนักรบเป็นบริวาร ๕๐๐พระองค์กลางมี ๓๐๐ พระองค์เล็กมี ๒๐๐ พระราชโอรส ๓ พระองค์ต่างทูลขอโอกาสกะพระบิดาว่า “แม้หม่อมฉันทั้งหลายจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย”
แม้ทูลอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้ เมื่อปัจจันตชนบทก่อการกบฏ พระราชโอรสทั้ง ๓ องค์ ถูกส่งไประงับเหตุนั้น ปราบกบฏจนราบคาบ แล้วมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามหินท์
พระเจ้ามหินท์ทรงสวมกอดพระราชโอรสทั้งสามแล้ว จุมพิตที่ศีรษะ ตรัสว่า “พ่อทั้งหลาย บิดาให้พรแก่พวกเจ้า” พระราชโอรสทั้งสามนั้นทูลว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” ทำพระพรให้เป็นอันถือเอาแล้ว โดยกาลล่วงไปสองสามวัน พระเจ้ามหินท์ตรัสอีกว่า “พ่อทั้งหลาย พวกเจ้าจงรับพรเสียเถิด” พระโอรสทูลว่า “พระเจ้าข้า ความประสงค์ด้วยสิ่งไรๆ อื่นของหม่อมฉันไม่มี ตั้งแต่บัดนี้ หม่อมฉันจักนิมนต์พระเจ้าพี่เสวย ขอพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉันเถิด”
พระเจ้ามหินท์ “ให้ไม่ได้”
พระราชโอรส “เมื่อไม่พระราชทานเสมอไป ก็พระ ราชทาน เพียง ๗ ปี”
พระเจ้ามหินท์ “ให้ไม่ได้”
พระราชโอรส “ถ้ากระนั้น ก็พระราชทานเพียง ๖ ปี”
พระราชโอรสทูลขอลดระยะเวลาจาก ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน จนถึง ๓ เดือน พระเจ้ามหินท์ก็ยังคงตอบว่า “ให้ไม่ได้”
พระราชโอรส “ช่างเถิด พระเจ้าข้า ขอทรงพระราช ทาน สัก ๓ เดือน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย คนละเดือนๆ”
พระเจ้ามหินท์ “ดีละ พ่อ, ถ้ากระนั้น เจ้าจงนิมนต์ให้เสวยได้ ๓ เดือน”
พระราชโอรสทรงมีขุนคลังคนเดียวกัน สมุห์บัญชีก็คนเดียวกัน ทั้งสามพระองค์นั้นมีบุรุษหนึ่งแสนสองหมื่นเป็นบริวาร พระราชโอรสทั้งสามรับสั่งให้เรียกบริวาร เหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า “เราทั้งสามจักรับศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ ๒ ผืน อยู่ร่วมด้วยพระศาสดา ตลอดไตรมาส นี้ พวกท่านพึงรับค่าใช้จ่ายมีประมาณเท่านี้ ยังของเคี้ยวของบริโภคทุกอย่างให้เป็นไปทั่วถึงแก่ภิกษุเก้าหมื่นรูป และนักรบของเราพันหนึ่ง เพราะแต่นี้ไป พวกเราจักไม่พูดอะไร?”
พระราชโอรสทั้งสามนั้นพาบุรุษบริวารพันหนึ่ง สมา ทานศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ อยู่แต่ในวิหาร ขุนคลัง และสมุห์บัญชีได้ร่วมกันเบิกเสบียงตามวาระๆ จากเรือนคลังทั้งหลายของพระราชโอรสทั้งสาม ถวายทานตามพระดำรัส
ต่อมาวันหนึ่ง ในขณะที่เตรียมทานจัดถวายแด่ภิกษุสงฆ์อยู่นั้น บุตรของพวกกรรมกรร้องไห้ต้องการข้าวยาคูและภัตเป็นต้น กรรมกรเหล่านั้นเห็นว่าภิกษุสงฆ์ยังไม่ทันมา จึงให้แบ่งส่วนข้าวยาคูและภัตเป็นต้นแก่บุตรตน ภิกษุสงฆ์มาทำภัตตกิจตามคำอาราธนาแห่งพระราชโอรสทั้งสามเสร็จแล้ว จึงไม่เคยมีของอะไรเหลือเลย
แต่นั้นมากรรมกรต่างแบ่งส่วนข้าวยาคูและภัตเป็นต้น แก่บุตรตน ก่อนที่ภิกษุสงฆ์จะทำภัตตกิจ และในกาลต่อมา พวกกรรมกรเหล่านั้นพูดอ้างว่า “เราจะให้ข้าวยาคูและภัตเป็นต้นแก่พวกเด็ก” แล้วรับข้าวยาคูและภัตเป็น ต้นไปกินเสียเอง ทำการเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย ทำให้เมื่อเห็นอาหารที่ชอบใจก็ไม่สามารถจะอดกลั้นรอจนภิกษุสงฆ์ ทำภัตตกิจเสร็จได้ ต่างถือวิสาสะกินอาหารที่ตนชอบก่อน ภิกษุสงฆ์เสมอมา พวกกรรมกรมีประมาณแปดหมื่นสี่พันคน พวกเขากินอาหารที่พระราชโอรสทั้งสามตั้งจิตปรารถนาถวายสงฆ์แล้ว เหตุนี้เมื่อกายแตกตายไป จึงได้เกิดในเปรตวิสัย
ฝ่ายพระราชโอรส ๓ พี่น้อง พร้อมด้วยบุรุษพันหนึ่ง สิ้นพระชนม์และตายไป ก็เกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวจากเทวโลกสู่เทวโลก ยังกาลให้สิ้นไป ๙๒ กัลป์ พระราชโอรส ๓ พี่น้องนั้นปรารถนาพระอรหัต ทำกัลยาณกรรมในกาลนั้น ด้วยประการอย่างนี้ ชฎิล ๓ พี่น้องนั้นได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกัน เราจะได้เลือกหน้าให้หามิได้
ส่วนสมุห์บัญชีของพระราชโอรส ๓ พระองค์นั้น ในชาตินี้ได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ขุนคลังได้เป็น นางวิสาขาอุบาสิกา กรรมกรของท่านทั้ง ๓ นั้น เกิดแล้วในพวกเปรต ในกาลนั้น ท่องเที่ยวอยู่ด้วยสามารถแห่งสุคติและทุคติ ในกัลป์นี้เกิดในเปรตโลกนั้นแล สิ้น ๔ พุทธันดร (พุทธันดรหนึ่งจักปรากฏแก่เปรตเหล่านั้นเหมือนวันพรุ่งนี้)
(โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้า)
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 107 ตุลาคม 2552 โดยพระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)