xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมบันเทิง : Dead Poets Society ครูครับ..เราจะสู้เพื่อฝัน หนังที่เป็นครูของครู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วงการศึกษาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมในบ้านเราทุกวันนี้มักจะเน้นหนักไปที่ผลของการศึกษาอันมีคะแนนเป็นตัววัดที่สำคัญ ยิ่งสถาบันไหนมีนักเรียนที่มีคะแนนสูงในระดับประเทศ หรือทำคะแนนเอนทรานซ์ได้สูงๆ มากเท่าไหร่ก็จะถือเป็นเกียรติเป็นศรีของสถาบันนั้นๆ
ยิ่งถ้าไปถามความต้องการของเด็กๆเองแล้ว การได้มาซึ่งวิชากับการได้มาซึ่งเกรด เป็นของคู่กันที่พวกเขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จนบางครั้งวิธีการได้มาซึ่งความรู้ดูจะเป็นเรื่องรองลงมาเมื่อเทียบกับการได้เกรดดีๆ เอาไว้ก่อน
และหากเราไปให้ทางเลือกว่าถ้าให้เกรดอย่างเดียวโดย ไม่เอาความรู้ เด็กๆสมัยนี้คงไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะจะมานั่งคิดให้ปวดหัวทำไม ในเมื่อการศึกษาบ้านเราทุกวันนี้มีเพียงเกรดเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายในการวัดคุณภาพของนักเรียนนักศึกษาแต่ละคน
ถ้าจะมีใครสักคนที่เห็นต่าง เขาต้องเป็น “จอห์น คีทติง” อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษ อดีตศิษย์ดีเด่น ของโรงเรียนมัธยมเวลตัน ที่กลับมาสอนวิชาที่เขารักในโรงเรียนเก่าอีกครั้ง
เหตุผลที่ทำให้เขาดูแตกต่างจากอาจารย์สอนภาษาคนอื่นๆ ที่เรามักมีความทรงจำในภาพลักษณ์ของคนแสนคร่ำครึ ใส่แว่นหนาเตอะ และเป็นต้นเหตุของวลีดังอย่าง “ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง” อันเป็นแนวการสอนที่บ่อนทำลายการศึกษาอนาคตของชาติทุกวันนี้ นั่นเพราะเขาละทิ้งการสอนตามธรรมเนียมนิยม ที่ออกแบบ มาเพื่อความสะดวกสบายของผู้สอน มากกว่าประโยชน์ของตัวผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งการพานักเรียนทั้งชั้นออกจากห้องตั้งแต่การสอนชั่วโมงแรก เพื่อออกไปสร้างแรงบันดาลใจในวิชาที่พวกเขาจะต้องเรียนกันอีกปีเต็มๆ การลดความสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึงของสถานะอาจารย์ เพื่อสร้างความเป็นกันเองอย่างสร้างสรรค์กับลูกศิษย์ เพื่อการเข้าถึงวิชาได้หลากหลายมากขึ้น หรือแม้แต่การกบฎแรงๆ ต่อ “ความเชื่อคร่ำครึ” ที่ฝังลึกในวงการศึกษา เช่นในฉากที่เขาสั่งให้นักเรียนทั้งห้องฉีกหน้าคำนำของหนังสือเรียน โทษฐานเสี้ยมสอนให้เด็กขาดจินตนาการ ในวิชาที่ต้องใช้อารมณ์ร่วมในการเรียนอย่างยิ่งยวดอย่างกวีและวรรณคดี
นักเรียนที่ประหลาดใจระคนประทับใจต่อรูปแบบการสอนที่ไม่เหมือนใครครั้งนี้ มีทั้ง น็อกซ์ โอเวอร์สตรีท เด็กหนุ่มที่ต้องการความรัก, ทอดด์ แอนเดอร์สัน เด็กหนุ่ม ที่ต้องการค้นหาตัวเอง และ นีล เพอร์รี เด็กหนุ่มสมองดีที่มีหัวใจอิสระ หากแต่ถูกกักขังเอาไว้ด้วยพ่อผู้เข้มงวด ที่พยายามขีดเส้นทางเอาไว้เพื่อลูกชายในทุกเรื่อง และไม่ยอมแม้สักครั้งจะให้ลูกชายลองเลือกทางที่ตัวเขาเองไม่รู้จัก การมาถึงของผู้ใหญ่อย่างคีทติง ทำให้ไฟแห่งความฝันของเด็กอย่างนีลถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง จนเขาและกลุ่มเพื่อนได้ตั้งกลุ่มสหายแห่งบทกวี ตามชื่อหนังสือกลอนที่คีทติงทิ้งไว้สมัยเรียนว่า “ชมรมกวีไร้ชีพ” หรือ Dead Poets Society
Dead Poets Society หรือชื่อไทยว่า ครูครับ เราจะสู้เพื่อฝัน เป็นหนังที่ผ่านการทดสอบของกาลเวลามาก ว่าสองทศวรรษ ซึ่งหนังดีกรีชิง 4 รางวัลออสการ์เมื่อปี 1989 (คว้ามาหนึ่งรางวัลในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม) ยังคงได้รับการกล่าวขวัญถึงเสมอ ทั้งจากการแสดงที่ยอดเยี่ยมในยุคทองของ “โรบิน วิลเลียมส์” และความประทับใจของหนังที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างวิเศษ โดยฝีมือผู้กำกับ ปีเตอร์ เวียร์ ที่เล่าเรื่องอารมณ์ ดรามาจากชีวิตของนักเรียนประจำในช่วงมัธยมได้อย่างโดดเด่น จนเป็นแรงบันดาลใจให้หนังหลายๆ เรื่องในเวลาต่อมา ทั้ง Scent of a Woman หรือ School Ties
แม้โครงสร้างของการเป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นมาในยุค 80 อาจจะดูล้าสมัยไปบ้างที่จะหยิบมาเทียบกับวิธีการเล่าเรื่องของหนังในยุคนี้ แต่หัวใจของหนังที่ถ่ายทอดได้อย่างทรงพลัง ได้แก่เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างความหลงใหลในศิลปะของนีล และความหมกมุ่นในอนาคตลูกชายของพ่อของเขาเอง จนเมื่อฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น จึงเกิดเรื่องที่น่าเสียดาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรามักจะพบเห็นได้ในชีวิตจริงทุกวันนี้ สำหรับครอบครัวที่เลี้ยง ลูกด้วย “คำสั่ง” มากกว่า “เหตุผล” และ “ความเข้าใจ”
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้อยู่ยั้งยืนยงในความทรงจำของแฟนหนังทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทย คือฉากไคลแม็กซ์ ที่ถือว่าเป็นบทสรุปของภาพยนตร์ที่ทรงพลังที่สุดฉากหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อสุดท้ายขบถอย่างคีทติงที่ต้องพ่ายแพ้ต่อกฎระเบียบของสังคม กลับได้รับสิ่งตอบแทนที่มีค่าที่สุดจากนักเรียนของเขา สิ่งมีค่าซึ่งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ครู อาจจะไม่เคยได้รับเลยตลอดชีวิตการสอน เมื่อลูกศิษย์เหล่านั้นทิ้งกฎระเบียบที่ใครก็ไม่ทราบเขียนเอาไว้ แล้วท้าทายอำนาจของสถานศึกษา ด้วยการส่งคืนสิ่งที่ “ครู” ของพวกเขาสอนจนหมดทุกอย่าง ผ่านวีรกรรมสั่งลาที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังถึงจิตวิญญาณ และยากที่ใครจะลืมเลือน
หลายคนอาจจะเห็นการกระทำของครูคีทติงในเรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันแต่ในนิยาย บางคนตั้งคำถามว่า การทุ่มเทการสอนแบบนี้ น่าจะเหมาะสำหรับขั้นอุดมศึกษามากกว่านักเรียนในช่วงมัธยมที่ยังไม่แน่นอนในทางเลือกของชีวิต แต่อย่างน้อยครูอย่างคีทติงก็สอนให้เราเห็นว่า การเรียนการสอนที่สามารถเข้าถึงผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องทำมากกว่า “คนนำเสียงท่องตำรา” หรือ “นักปิ้งแผ่นใส” ที่เห็นกันได้ตามสถาบันในบ้านเรายุคนี้ ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงบัณทิตวิทยาลัยเลยทีเดียว
ส่วนตัวผมแล้ว คำสอนของครูคีทติงที่จับใจที่สุดในบทเรียนครั้งนี้ คือการชี้ให้เห็นความสำคัญของการเรียนการสอนวิชาศิลปะ ที่มักถูกดูแคลนมาเสมอว่า เป็นเรื่องไร้สาระเมื่อเทียบกับวิชาสายวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์
แต่ขณะที่ 3 สายสาขาวิชานั้นสอนให้เรารู้ว่าจะใช้ชีวิตที่ดีได้ “อย่างไร” มีเพียงศิลปศาสตร์เท่านั้นที่สอนให้เรารู้ว่าจะใช้ชีวิตไป “ทำไม”

(จากธรรมลีลา ฉบับ 104 กรกฎาคม 52 โดย Feel Lost/So Free)
กำลังโหลดความคิดเห็น