xs
xsm
sm
md
lg

มองปัญหาด้วยปัญญา:

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

                                  บุญเป็นอาหารแห่งจิต
                     ดั่งแสงแดดเป็นตัวการปรุงอาหารให้กับต้นไม้
                        ส่วนจิตนั้นไร้รูปร่าง เหมือนสุญญากาศ 
                              และมีพลังอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่
                              พระพุทธเจ้าเรียกว่า สุญญตา

ปุจฉา

ในชีวิตได้มีโอกาสเห็นปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่หาคนอธิบายไม่ได้ขอหลวงปู่ ช่วยอธิบายเรื่อง พลังบุญ กับ พลังจิต ด้วยครับ

วิสัชนา

บุญเป็นอาหารแห่งจิต ดั่งแสงแดดเป็นตัวการสำหรับปรุงอาหารให้กับต้นไม้ ส่วนจิตนั้นไร้รูปร่าง เหมือนสุญญากาศ และมีพลังอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่ พระพุทธเจ้าเรียกว่า สุญญตา คือ ความว่าง ความโปร่ง ความโล่ง ความเบา และสบาย ละเอียดยิ่งกว่า สุญญากาศ ผู้ที่เข้าถึง พลังแห่งจิต คือ ผู้เข้าถึงโลกและจักรวาล พระศาสดาผู้เข้าถึงพลังนี้ พระองค์จึงเรียกขาน ตัวเองว่า เราคือโลก โลกคือเรา จิตคือโลก โลกคือจิต จิตคือเรา เราคือโลก

หลวงปู่อาจจะเคยพูดว่า บุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้คนเป็๋นพระพุทธเจ้า บุญเป็นพลังงานอนันต์ ทำให้ยาจกเป็นพระราชา ทำให้คนธรรมดาเป็นเหนือธรรมดา บุญเป็นพลังงานอนันต์ ที่ทำให้คนใกล้ตาย กลับไม่ตาย และทำให้ได้พบความสำเร็จลุล่วงได้ตามประสงค์

แต่บุญก็ยังเป็นพลังงานที่ รองลงมาจากพลังงานอมตะแห่ง จิต ถึงแม้ว่าเราจะปฏิเสธการเรียนรู้เรื่องจิต แต่ทุกคนมีพลังจิตชนิดนั้นอยู่ หากไม่ได้พัฒนา และไม่รู้จักวิธีใช้ บางทีเราก็ใช้อย่างฟุ่มเฟือยและไม่รู้จักรักษาเพิ่มเติม

จิตทุกดวงมีพลังอมตะ และเท่าเทียมกัน ต่างกันตรงที่คนคนนั้นจะเข้าถึงจิตของตนมากน้อยอย่างไร บุคคลนั้นๆ จะเปิดประตูแห่งวิญญาณไปรู้จักหน้าตาแห่งจิตแท้ๆ อย่างละเอียด หยาบ สุขุม ลุ่มลึก หรือรู้จักแบบความไม่มีอะไร

เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงสอนให้เราเข้าถึงจิตของตน และพระองค์ก็ทรงชี้ ประโยชน์แห่งการเข้าถึงจิตของตนว่า ผู้นั้นจะดับและเย็น นั่นคือ นิพพาน ซึ่งผู้มีบุญหรือมีเพียงพลังงานบุญ ไม่สามารถผลักดัน ให้ถึงนิพพาน อันแปลว่าดับและเย็นได้

พลังงานชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้เข้าถึงนิพพานได้ คือ พลังแห่งจิต

พลังงานวิเศษซึ่งเป็นพลังงาน อมตะนั้น ไม่ใช่ได้มาจากที่อื่น ไม่ใช่ได้มาจากครูคนใด ไม่ใช่ได้มาจากพระพุทธเจ้าประทานให้ แต่ได้มาจากหัวใจที่เอื้ออารี และเต็มเปี่ยมด้วยคุณความดี ที่เรียกขานกันว่า 'ผู้มีบุญ' และมันก็ได้มาจาก การทำกรรมดี ที่เรียกว่า ทำบุญ แต่สุดท้าย ต้องไม่ยึดติดในบุญ

นักบวช
ผู้เป็นสาวกแห่งพระศาสดา คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บริหารบุญ และให้แล้วซึ่งบุญต่อ ทายก ซึ่งก็คือ ผู้ให้ หรือ ผู้ต้องการบุญ เพื่อพัฒนาไปสู่พลังงานอนันต์ เนื่องจากบุญเป็นอาหารแห่งจิต ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะถึงพลังแห่งจิตได้

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้พวกเราทำบุญ 10 ประการ คือ
1. ให้ทาน 2. รักษาศีล
3. ฟังธรรม 4. แผ่เมตตา
5. เจริญภาวนา 6. ทำหน้าที่ ของพ่อ แม่ ลูก
7. อ่อนน้อมถ่อมตน 8. ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำดี
9. ปฏิบัติธรรม 10. ทำ ความเห็นให้ตรงและถูกต้อง

เมื่อเข้ามาสู่ประตูแห่งคำว่า 'บุญ' คือ เต็มเปี่ยมไปด้วยบุญ ทั้งปวงแล้ว ก็ ละ วาง แม้แต่ บุญ ก้าวล่วงพ้นคลังบุญ เข้าสู่ความว่าง เข้าสู่วิญญาณแห่งสุญญตา เมื่อใดที่ทำได้ เมื่อนั้น ก็จะเข้าถึงนิพพาน อันแปลว่า ดับ และ เย็น นั่นเอง

นี่คือ วิธีเข้าถึงพลังงานอนันต์ ถ้าเปรียบเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เหมือนกับกระสวยอวกาศ ยานอวกาศ ที่หลุดออกไปพ้นจากแรงดึงดูดของโลก เพื่อก้าวล่วงข้ามไปสู่วงโคจรแห่งจักรวาลได้ ก็ต้องอาศัยเชื้อเพลิง ที่จะผลักดันเอายานอวกาศลำนั้น ให้หลุดไปจากแรงดึงดูดของโลก ก่อน เมื่อเชื้อเพลิงมันผลักดัน เอากระสวยอวกาศให้หลุดออกไปได้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้วิธีคำนวณเพื่อจะสลัดหลุดจากแหล่งเชื้อเพลิงอันนั้น

ต่อไปก็จะเดินทางด้วยพลังอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ พลังบุญ เป็นพลังงานที่จะผลักดัน เอากระสวยอวกาศให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลกจิต เมื่อกระสวยอวกาศพ้นจากแรง ดึงดูดของโลกแล้ว ผู้ควบคุมยานอวกาศลำนั้นก็จะทำหน้าที่กดปุ่ม เพื่อจะสลัดเอาเชื้อเพลิงที่ติดมากับกระสวยอวกาศนั้น สลัดให้หลุดและทิ้งไป และก็จะใช้พลังงานชนิดใหม่ที่เบา แข็งแรง มีพลัง และต้านแรงกดดันได้เป็นเยี่ยม และเชื้อเพลิง ชนิดนั้นก็ต้องเปรียบได้ว่าเป็นพลังจิต

เพราะฉะนั้น พวกเรามี หน้าที่ที่จะทำให้หลุดออกไปจาก โลกนี้ให้ได้ แล้วพลัง 2 ชนิด ที่จะทำให้เราหลุดออกไปจากโลกนี้ก็คือ พลังงานอนันต์ คือ พลังบุญ กับพลังแห่งจิต นั่นคือ พลังอมตะ

พวกเราก็เหมือนกัน มีหน้าที่ ที่จะพัฒนาชีวิตให้เข้าไปสู่พลัง 2 ชนิด แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พระศาสดา องค์พระสัมมาสัมพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สืบทอดและสั่งการกันต่อๆ มา ในตระกูลศากยะ และชาวพุทธทั้งปวงให้รู้และเข้าใจ

นักบวชในศาสนานี้ มีหน้าที่ มาช่วยปลดปล่อยประชาชาติและสัตวโลกจากความเป็นทาส เป็นผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของพระพุทธะ และส่งทอดกัน ต่อๆ ไป ซึ่งจะต้องเป็นผู้กล้าและผู้อาจหาญ เป็นผู้มีความสามารถในจิตวิญญาณตน ซึ่งหายากและมีน้อยคนนักที่จะ เข้าถึง สัจธรรมแห่งพลังงานนี้ และมีน้อยคนนักที่จะสามารถอธิบาย ชี้แจงแสดงเงื่อนไขแห่งพลังวิเศษ 2 ชนิดที่มีอยู่ในพระวรกายแห่งพระพุทธะผู้ ยิ่งใหญ่ในอดีต นั่นคือ 'พลังงานอนันต์' ที่เรียกกันว่า 'พลังบุญ' และ 'พลังจิต' หรือ 'พลังอมตะ'

เราทุกคนจึงมีหน้าที่ที่จะพัฒนาพลัง 2 ชนิดนี้ให้อยู่ในจิตวิญญาณของเรา เพราะเราล้วนเป็นสาวกของชาวศากยะ มีหน้าที่ที่จะต้องชี้นำ อบรม สั่งสอน และเผยแพร่ 'วิถีทางแห่งความหลุดพ้น' ชนิดนี้ ให้กับหมู่สรรพสัตว์ สรรพชีวิต ทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตตนและคนทั้งปวง
กำลังโหลดความคิดเห็น