28. จอมคนเทียนแห่งธรรม (ต่อ)
“เขา” เคยถาม คุรุ ของเขาว่า
“หลวงปู่ครับ เราควรฝึกตนให้บรรลุก่อนแล้วจึงไปช่วยเหลือผู้คน หรือว่าเราควรช่วยเหลือผู้คนพร้อมๆ กับการฝึกตนให้รู้แจ้งครับ”
คุรุ ได้ตอบคำถามข้อนี้ของเขาจากมุมมองของ “สามไม่รู้” ซึ่งมีความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านบอกว่า คนเรามี สามไม่รู้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คือไม่มีใครรู้ว่าวิถีชีวิตของตนเองมีอายุยาวเท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าการดำเนินชีวิตอยู่จนบรรลุธรรมได้นั้นต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่าทิศทางไหนคือหนทางแห่งการบรรลุของตน
คุรุ บอกว่า เพราะคนเราไม่รู้ 3 ประการนี้แหละ คนเราส่วนใหญ่จึงมีความเป็นอยู่อย่างเนิ่นช้า และไร้สาระตลอดมา แต่ถึงคนเราจะมี สามไม่รู้ ก็จริง แต่คนเราย่อมสามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราทำดีต่อคนอื่น คนอื่นย่อมทำดีต่อเรา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเราหว่านพืชอะไรลงไป คนเราก็ย่อมได้ดอกผลของพืชพันธุ์นั้นเสมอ หากเราเชื่อเช่นนี้ ศรัทธาในกฎแห่งกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ คนเราก็ไม่ควรเสียเวลาเรื่องแคบๆ เฉพาะตนเอง หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตนเอง แต่คนเราควรค้นหาเรื่องที่มันใหญ่กว่านั้น เพื่อให้คนอื่นร่วมกันค้นหาด้วย
การมุ่งบรรลุเฉพาะตน ถึงจะไม่ไปเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แต่มันก็เป็นการเอารัดเอาเปรียบ ความเป็นพุทธะ ในตัวเราอยู่ดี หากเราดูดายไม่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยคิดแต่จะหลุดพ้นเพียงลำพัง มิหนำซ้ำ เราก็ไม่รู้อีกว่า “ทาง” ที่เรากำลังเดินไปนั้น มันสามารถสลัดความเห็นแก่ตัวได้จริงหรือไม่
“เพราะฉะนั้น เราควรอยู่ด้วยความรู้สึกสลัดหลุด อย่าเป็นอยู่ด้วยความตะกละละโมบ แม้จะเป็นความละโมบในการบรรลุก็ตาม”
***
“อะระหังเมตตา ธัมมังเมตตา สังฆังเมตตา โพธิสัตว์พลัง”
“โอม สัจจะกายะ สัจจะวจี สัจจะมโน
โอม อัตตาหิพลัง กรรมะพลัง จิตตะพลัง
โอม เมตตานัง โลกาปีติ
โอม พุทธัง วิสุทธิภาวะ โพธิสัตว์ สรณัง คัจฉามิ
โอม มะนะพะทะ จิตตะพลัง
โอม นะโมพุทธายะ โพธิสัตว์พลัง
โอม โลกุตตะโร พลังอมตะ อนันต์”
เมื่อสิบปีที่แล้ว ในขณะที่ตัว เขา กำลังดิ้นรนขวนขวายอยู่กับการแสวงธรรมเพื่อบรรลุธรรม อันเนื่องมาจากความไม่รู้ของตัว เขา ว่าทิศทางไหนคือ ทางเอกแห่งการบรรลุธรรมของตัว เขา กันแน่ ครั้งหนึ่ง “เขา” ไปฝึกสมาธิปฏิบัติธรรมที่ถ้ำไก่หล่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับกลุ่มกัลยาณมิตรผู้มาร่วมแสวงธรรม และปฏิบัติธรรมร่วมกับเขา และภาวนาคาถาต่างๆ ข้างต้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คุรุ ของเขาเป็นผู้บอกกับ “เขา” เองว่า ท่านสอนศิษย์ของท่านทุกคนให้เป็นครูของตัวเองให้จงได้ เพราะมีแต่ผู้ที่สามารถปลุกครูผู้มีใจอารีของตนให้ตื่นขึ้นมาสอนตน จนตนเองสามารถเป็นครูของตนเองได้แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถค้นพบได้ว่า ทิศทางไหนคือหนทางแห่งการบรรลุของตนได้ ด้วยเหตุนี้ “เขา” จึงต้องขวนขวายด้วยตนเอง ในการที่จะเป็นครูของตัวเองให้จงได้
ขณะที่ “เขา” กำลังนั่งสมาธิรวมหมู่ร่วมกับกลุ่มปฏิบัติธรรมของเขาอยู่นั้น หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ในภาวะสมาธิอันล้ำลึก จนได้ยิน เสียงกระซิบอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ จนตัวเธอต้องเอื้อนเอ่ยถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนที่กำลังร่วมปฏิบัติธรรมใน ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งนั้น ได้ร่วมรับทราบ วาจาเร้นลับ เหล่านี้
“โพธิจิตเป็นประตูสู่การรู้แจ้ง หากแต่หัวใจของเจ้ายังยึดติดอยู่กับอัตตาของความรัก ความโกรธ ความเกลียด และความสับสนต่อทั้งตัวเจ้าเอง เพื่อนของเจ้า ศัตรูของเจ้า และคนแปลกหน้า ขอให้หัวใจของเจ้าผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ด้วย ขันติ ขันติที่มีกระแสแห่งความเมตตา และให้อภัยเต็มเปี่ยมอยู่ในนั้น จงให้อภัยต่อทั้งหัวใจของเจ้าเอง เพื่อนของเจ้า ศัตรูของเจ้า และคนแปลกหน้า เพื่อให้ ขันติ บังเกิด อันนำไปสู่ โพธิจิต เพื่อเข้าสู่ความรู้แจ้ง”
“ขอให้ทุกสรรพชีวิต จงมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วย ความเมตตา เพื่อก้าวไปใน วิถีแห่งพระโพธิสัตว์ ด้วยเถิด”
“ขอให้สายพันธุ์แห่ง ความกล้าหาญ จงบังเกิดขึ้น เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตทั้งมวล”
“ความเมตตาสูงสุดของพระโพธิสัตว์อันยิ่งใหญ่ คือ ความเพียร พยายามที่จะช่วยเหลือจนสรรพชีวิตสุดท้ายได้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์แห่งวัฏสงสาร ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายได้ระลึกถึง ความเพียรอันยิ่งใหญ่ ของพระมหาโพธิสัตว์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตานี้ แล้วปลูกฝังให้ สายพันธุ์แห่งความเพียร นี้บังเกิดขึ้นภายในตัวเจ้า เพื่อเพียรพยายามที่จะเข้าสู่ความเป็นพุทธะ ถือในสัจจะกายะ สัจจะวจี สัจจะมโน จนกว่าความเป็นพุทธะจะบังเกิดขึ้น เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตทั้งมวล”
“ความศักดิ์สิทธิ์แห่งกาย วาจา ใจ และโพธิจิตเป็นหนทางสู่การรู้แจ้ง ขอเพียงแต่หัวใจเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยสายพันธุ์แห่งความเมตตา กล้าหาญ วิริยะ และขันติแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์แห่ง ตบะ และโพธิจิตจะบังเกิดกับตัวเจ้าเอง จงจำไว้นะว่า ขณะที่เจ้าแสวงหาหนทางวิเศษภายนอกอันใด อย่าลืมหยุดแล้วย้อนมองหา ความวิเศษแห่งหัวใจพุทธะ ภายในตัวของเจ้าเอง”
ตัว “เขา” ก็กำลังอยู่ในภาวะอันล้ำลึกแห่งประสบการณ์เร้นลับทางวิญญาณเช่นกัน บัดดลนั้นเองที่จิตใจของเขาสว่างโพลง แสงอาทิตย์ก็ได้สาดส่องเข้ามาทางปล่องถ้ำ ยังให้ถ้ำที่สลัวสว่างขึ้นในบัดดลเช่นกัน เสียงสาธยายมนต์ยังคงก้องกังวานและดำเนินอยู่ “เขา” ก้มลงกราบที่พื้นไม่นานนัก ความสลัวของยามสนธยาก็เข้ามาครอบคลุมถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นอีกครั้ง
ฉับพลันนั้นเอง หญิงสาวที่เอื้อนเอ่ย วาจาเร้นลับ ที่เธอได้ยินจากเสียงกระซิบ อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ ก็ได้สื่อ จิตวิญญาณแห่งพระโพธิสัตว์ ครั้งสุดท้ายของเธอออกมาว่า
“ไม่มีพรวิเศษอันใดจะวิเศษยิ่งไปกว่าการรู้แจ้ง ขอเพียงเจ้าหยั่งรู้ เข้าถึง และก้าวข้ามแล้วความวิเศษทั้งหลายที่เจ้าไขว่คว้า แสวงหาจะบังเกิดกับตัวเจ้าเอง”
หลังจากนั้น เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมคนหนึ่งของ “เขา” ได้พยายามสอบถาม “เขา” เรื่อง ประสบการณ์เร้นลับลม 7 ฐาน ที่ “เขา” ได้ประสบในถ้ำศักดิ์สิทธิ์วันนั้น “เขา” ได้แต่บอกเพื่อนคนนั้นของเขาว่า
“มันบอกไม่ได้หรอก ถ้าบอกก็เท่ากับไม่รักคนนั้น มันเป็นสิ่งที่คุณต้องรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น แต่ที่พอจะพูดได้ก็คือ
หลวงปู่ก็คือ ลม 7 ฐาน และลม 7 ฐานก็คือหลวงปู่ ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ได้ คุณก็จะมองทะลุได้เองถึงความลึกล้ำของวิชาลม 7 ฐานนี้”
เหตุที่ “เขา” ต้องกล่าวเช่นนี้ เพราะ “เขา” รู้ว่า การหยั่งรู้ในวิชาลม 7 ฐาน เป็นการหยั่งรู้แบบเซน ซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดให้กันได้โดยง่ายจนกว่า “ดอกบัวแห่งปัญญา” ของผู้นั้นจะบานออกมาเองในหัวใจเขา ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เพราะดอกบัวแห่งปัญญาของแต่ละคน บานออกมาไม่พร้อมกัน
แต่ที่แน่ๆ ที่ตัว เขา ตระหนักรู้อย่างไม่มีข้อสงสัยเลยคือ ความจริงที่ว่า คุรุ คือ ลม 7 ฐานและลม 7 ฐานก็คือ คุรุ โดยที่ในความจริง คุรุ ท่านสอนลม 7 ฐานอยู่ทุกขณะจิตของท่าน โดยท่านไม่เคยหวงวิชาเลย ท่านได้เปิดเผยในสิ่งที่ท่านรู้อย่างหมดสิ้น เพียงแต่พวกลูกศิษย์ไม่ได้ตระหนักรู้ และไม่เข้าใจความหมายในถ้อยคำที่ คุรุ พูด และในอาการกิริยาที่ คุรุ ท่านแสดงออกมาเท่านั้น
“เขา” อดนึกถึงคำพูดต่อไปนี้ของ มหาโยคี มิลาเรปะ ไม่ได้
“ขอให้พระมหาโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ และจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลจักรวาลได้โปรดอำนวยพรให้ผู้ที่ได้สดับตรับฟังเรื่องราวที่ข้าฯ จะได้เอื้อนเอ่ยต่อไปนี้ทุกผู้ทุกคน ไม่ว่าผู้นั้นจักเป็นผู้ยอมรับหรือปฏิเสธในเรื่องราวนี้ก็ตาม ขอให้ความรัก ความศรัทธา และความเบิกบานในวิถีแห่งพุทธะ จงเปี่ยมอยู่ในหัวใจและวิญญาณของท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเทอญ”
“ข้าฯ โค้งคำนับลง ณ เบื้องบาทของ คุรุอันศักดิ์สิทธิ์ ของข้าฯ นั่นเป็นเพราะกุศลบุญที่ได้สั่งสมไว้ ข้าฯ จึงได้พบกับท่าน และ ณ สถานที่แห่งนี้ที่องค์คุรุได้ชี้นำ ข้าฯ จึงได้มาถึง...” (ยังมีต่อ)
“เขา” เคยถาม คุรุ ของเขาว่า
“หลวงปู่ครับ เราควรฝึกตนให้บรรลุก่อนแล้วจึงไปช่วยเหลือผู้คน หรือว่าเราควรช่วยเหลือผู้คนพร้อมๆ กับการฝึกตนให้รู้แจ้งครับ”
คุรุ ได้ตอบคำถามข้อนี้ของเขาจากมุมมองของ “สามไม่รู้” ซึ่งมีความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านบอกว่า คนเรามี สามไม่รู้ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คือไม่มีใครรู้ว่าวิถีชีวิตของตนเองมีอายุยาวเท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าการดำเนินชีวิตอยู่จนบรรลุธรรมได้นั้นต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่าทิศทางไหนคือหนทางแห่งการบรรลุของตน
คุรุ บอกว่า เพราะคนเราไม่รู้ 3 ประการนี้แหละ คนเราส่วนใหญ่จึงมีความเป็นอยู่อย่างเนิ่นช้า และไร้สาระตลอดมา แต่ถึงคนเราจะมี สามไม่รู้ ก็จริง แต่คนเราย่อมสามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราทำดีต่อคนอื่น คนอื่นย่อมทำดีต่อเรา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คนเราหว่านพืชอะไรลงไป คนเราก็ย่อมได้ดอกผลของพืชพันธุ์นั้นเสมอ หากเราเชื่อเช่นนี้ ศรัทธาในกฎแห่งกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ คนเราก็ไม่ควรเสียเวลาเรื่องแคบๆ เฉพาะตนเอง หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตนเอง แต่คนเราควรค้นหาเรื่องที่มันใหญ่กว่านั้น เพื่อให้คนอื่นร่วมกันค้นหาด้วย
การมุ่งบรรลุเฉพาะตน ถึงจะไม่ไปเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แต่มันก็เป็นการเอารัดเอาเปรียบ ความเป็นพุทธะ ในตัวเราอยู่ดี หากเราดูดายไม่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยคิดแต่จะหลุดพ้นเพียงลำพัง มิหนำซ้ำ เราก็ไม่รู้อีกว่า “ทาง” ที่เรากำลังเดินไปนั้น มันสามารถสลัดความเห็นแก่ตัวได้จริงหรือไม่
“เพราะฉะนั้น เราควรอยู่ด้วยความรู้สึกสลัดหลุด อย่าเป็นอยู่ด้วยความตะกละละโมบ แม้จะเป็นความละโมบในการบรรลุก็ตาม”
***
“อะระหังเมตตา ธัมมังเมตตา สังฆังเมตตา โพธิสัตว์พลัง”
“โอม สัจจะกายะ สัจจะวจี สัจจะมโน
โอม อัตตาหิพลัง กรรมะพลัง จิตตะพลัง
โอม เมตตานัง โลกาปีติ
โอม พุทธัง วิสุทธิภาวะ โพธิสัตว์ สรณัง คัจฉามิ
โอม มะนะพะทะ จิตตะพลัง
โอม นะโมพุทธายะ โพธิสัตว์พลัง
โอม โลกุตตะโร พลังอมตะ อนันต์”
เมื่อสิบปีที่แล้ว ในขณะที่ตัว เขา กำลังดิ้นรนขวนขวายอยู่กับการแสวงธรรมเพื่อบรรลุธรรม อันเนื่องมาจากความไม่รู้ของตัว เขา ว่าทิศทางไหนคือ ทางเอกแห่งการบรรลุธรรมของตัว เขา กันแน่ ครั้งหนึ่ง “เขา” ไปฝึกสมาธิปฏิบัติธรรมที่ถ้ำไก่หล่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับกลุ่มกัลยาณมิตรผู้มาร่วมแสวงธรรม และปฏิบัติธรรมร่วมกับเขา และภาวนาคาถาต่างๆ ข้างต้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คุรุ ของเขาเป็นผู้บอกกับ “เขา” เองว่า ท่านสอนศิษย์ของท่านทุกคนให้เป็นครูของตัวเองให้จงได้ เพราะมีแต่ผู้ที่สามารถปลุกครูผู้มีใจอารีของตนให้ตื่นขึ้นมาสอนตน จนตนเองสามารถเป็นครูของตนเองได้แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถค้นพบได้ว่า ทิศทางไหนคือหนทางแห่งการบรรลุของตนได้ ด้วยเหตุนี้ “เขา” จึงต้องขวนขวายด้วยตนเอง ในการที่จะเป็นครูของตัวเองให้จงได้
ขณะที่ “เขา” กำลังนั่งสมาธิรวมหมู่ร่วมกับกลุ่มปฏิบัติธรรมของเขาอยู่นั้น หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มที่อยู่ในภาวะสมาธิอันล้ำลึก จนได้ยิน เสียงกระซิบอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ จนตัวเธอต้องเอื้อนเอ่ยถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนที่กำลังร่วมปฏิบัติธรรมใน ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งนั้น ได้ร่วมรับทราบ วาจาเร้นลับ เหล่านี้
“โพธิจิตเป็นประตูสู่การรู้แจ้ง หากแต่หัวใจของเจ้ายังยึดติดอยู่กับอัตตาของความรัก ความโกรธ ความเกลียด และความสับสนต่อทั้งตัวเจ้าเอง เพื่อนของเจ้า ศัตรูของเจ้า และคนแปลกหน้า ขอให้หัวใจของเจ้าผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ด้วย ขันติ ขันติที่มีกระแสแห่งความเมตตา และให้อภัยเต็มเปี่ยมอยู่ในนั้น จงให้อภัยต่อทั้งหัวใจของเจ้าเอง เพื่อนของเจ้า ศัตรูของเจ้า และคนแปลกหน้า เพื่อให้ ขันติ บังเกิด อันนำไปสู่ โพธิจิต เพื่อเข้าสู่ความรู้แจ้ง”
“ขอให้ทุกสรรพชีวิต จงมีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วย ความเมตตา เพื่อก้าวไปใน วิถีแห่งพระโพธิสัตว์ ด้วยเถิด”
“ขอให้สายพันธุ์แห่ง ความกล้าหาญ จงบังเกิดขึ้น เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตทั้งมวล”
“ความเมตตาสูงสุดของพระโพธิสัตว์อันยิ่งใหญ่ คือ ความเพียร พยายามที่จะช่วยเหลือจนสรรพชีวิตสุดท้ายได้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์แห่งวัฏสงสาร ขอให้สรรพชีวิตทั้งหลายได้ระลึกถึง ความเพียรอันยิ่งใหญ่ ของพระมหาโพธิสัตว์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตานี้ แล้วปลูกฝังให้ สายพันธุ์แห่งความเพียร นี้บังเกิดขึ้นภายในตัวเจ้า เพื่อเพียรพยายามที่จะเข้าสู่ความเป็นพุทธะ ถือในสัจจะกายะ สัจจะวจี สัจจะมโน จนกว่าความเป็นพุทธะจะบังเกิดขึ้น เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตทั้งมวล”
“ความศักดิ์สิทธิ์แห่งกาย วาจา ใจ และโพธิจิตเป็นหนทางสู่การรู้แจ้ง ขอเพียงแต่หัวใจเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยสายพันธุ์แห่งความเมตตา กล้าหาญ วิริยะ และขันติแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์แห่ง ตบะ และโพธิจิตจะบังเกิดกับตัวเจ้าเอง จงจำไว้นะว่า ขณะที่เจ้าแสวงหาหนทางวิเศษภายนอกอันใด อย่าลืมหยุดแล้วย้อนมองหา ความวิเศษแห่งหัวใจพุทธะ ภายในตัวของเจ้าเอง”
ตัว “เขา” ก็กำลังอยู่ในภาวะอันล้ำลึกแห่งประสบการณ์เร้นลับทางวิญญาณเช่นกัน บัดดลนั้นเองที่จิตใจของเขาสว่างโพลง แสงอาทิตย์ก็ได้สาดส่องเข้ามาทางปล่องถ้ำ ยังให้ถ้ำที่สลัวสว่างขึ้นในบัดดลเช่นกัน เสียงสาธยายมนต์ยังคงก้องกังวานและดำเนินอยู่ “เขา” ก้มลงกราบที่พื้นไม่นานนัก ความสลัวของยามสนธยาก็เข้ามาครอบคลุมถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นอีกครั้ง
ฉับพลันนั้นเอง หญิงสาวที่เอื้อนเอ่ย วาจาเร้นลับ ที่เธอได้ยินจากเสียงกระซิบ อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผ่านเข้ามาในหัวใจของเธอ ก็ได้สื่อ จิตวิญญาณแห่งพระโพธิสัตว์ ครั้งสุดท้ายของเธอออกมาว่า
“ไม่มีพรวิเศษอันใดจะวิเศษยิ่งไปกว่าการรู้แจ้ง ขอเพียงเจ้าหยั่งรู้ เข้าถึง และก้าวข้ามแล้วความวิเศษทั้งหลายที่เจ้าไขว่คว้า แสวงหาจะบังเกิดกับตัวเจ้าเอง”
หลังจากนั้น เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมคนหนึ่งของ “เขา” ได้พยายามสอบถาม “เขา” เรื่อง ประสบการณ์เร้นลับลม 7 ฐาน ที่ “เขา” ได้ประสบในถ้ำศักดิ์สิทธิ์วันนั้น “เขา” ได้แต่บอกเพื่อนคนนั้นของเขาว่า
“มันบอกไม่ได้หรอก ถ้าบอกก็เท่ากับไม่รักคนนั้น มันเป็นสิ่งที่คุณต้องรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น แต่ที่พอจะพูดได้ก็คือ
หลวงปู่ก็คือ ลม 7 ฐาน และลม 7 ฐานก็คือหลวงปู่ ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ได้ คุณก็จะมองทะลุได้เองถึงความลึกล้ำของวิชาลม 7 ฐานนี้”
เหตุที่ “เขา” ต้องกล่าวเช่นนี้ เพราะ “เขา” รู้ว่า การหยั่งรู้ในวิชาลม 7 ฐาน เป็นการหยั่งรู้แบบเซน ซึ่งไม่สามารถถ่ายทอดให้กันได้โดยง่ายจนกว่า “ดอกบัวแห่งปัญญา” ของผู้นั้นจะบานออกมาเองในหัวใจเขา ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เพราะดอกบัวแห่งปัญญาของแต่ละคน บานออกมาไม่พร้อมกัน
แต่ที่แน่ๆ ที่ตัว เขา ตระหนักรู้อย่างไม่มีข้อสงสัยเลยคือ ความจริงที่ว่า คุรุ คือ ลม 7 ฐานและลม 7 ฐานก็คือ คุรุ โดยที่ในความจริง คุรุ ท่านสอนลม 7 ฐานอยู่ทุกขณะจิตของท่าน โดยท่านไม่เคยหวงวิชาเลย ท่านได้เปิดเผยในสิ่งที่ท่านรู้อย่างหมดสิ้น เพียงแต่พวกลูกศิษย์ไม่ได้ตระหนักรู้ และไม่เข้าใจความหมายในถ้อยคำที่ คุรุ พูด และในอาการกิริยาที่ คุรุ ท่านแสดงออกมาเท่านั้น
“เขา” อดนึกถึงคำพูดต่อไปนี้ของ มหาโยคี มิลาเรปะ ไม่ได้
“ขอให้พระมหาโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ และจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลจักรวาลได้โปรดอำนวยพรให้ผู้ที่ได้สดับตรับฟังเรื่องราวที่ข้าฯ จะได้เอื้อนเอ่ยต่อไปนี้ทุกผู้ทุกคน ไม่ว่าผู้นั้นจักเป็นผู้ยอมรับหรือปฏิเสธในเรื่องราวนี้ก็ตาม ขอให้ความรัก ความศรัทธา และความเบิกบานในวิถีแห่งพุทธะ จงเปี่ยมอยู่ในหัวใจและวิญญาณของท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเทอญ”
“ข้าฯ โค้งคำนับลง ณ เบื้องบาทของ คุรุอันศักดิ์สิทธิ์ ของข้าฯ นั่นเป็นเพราะกุศลบุญที่ได้สั่งสมไว้ ข้าฯ จึงได้พบกับท่าน และ ณ สถานที่แห่งนี้ที่องค์คุรุได้ชี้นำ ข้าฯ จึงได้มาถึง...” (ยังมีต่อ)