วัฏจักรแห่งกาลเวลา หมุนไปไม่เคยหยุดนิ่ง พระอาทิตย์และพระจันทร์สลับกันทำหน้าที่ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และเป็นหลายๆปีที่ผ่านพ้นไป พร้อมกับการก่อกำเนิด คงอยู่ และจาก ไปของสรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลก
ดังเช่นชีวิตของนกเพนกวิน สายพันธุ์จักรพรรดิ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในภาพยนตร์สารคดีเรื่องเยี่ยม The Emperor’s Journey หรือชื่อในต้นฉบับ ของฝรั่งเศสLa March de L’Empereur และในชื่อไทยว่า “เพนกวิน หัวใจจักรพรรดิ” ซึ่งถ่ายทอดชีวิตของนกเพนกวินในขั้วโลกอันเหน็บหนาว เป็นภาพยนตร์ สารคดีที่ได้รับรางวัลออสการ์ สาขาสารคดี ยอดเยี่ยม ประจำปี 1995 และทำเงินสูง สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฝรั่งเศส
สารคดีเรื่องนี้ ไม่เหมือนสารคดีชีวิตสัตว์ทั่วไปที่มีผู้บรรยาย แต่เป็นการใช้เสียงของผู้ชายและผู้หญิงแทนนกเพนกวินตัวผู้และตัวเมีย เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ความรู้สึกผ่านสายตาและมุมมองของนก ซึ่งทำให้ได้อรรถรสในการชมเป็นอย่างมาก เพราะภาษาที่ใช้นั้นงดงาม เช่นเดียวกับภาพที่ถูกถ่ายทอดออกมา
การก่อกำเนิดชีวิตของเพนกวิน เริ่มต้นในฤดูหนาวของทุกปี ที่เพนกวินสายพันธุ์จักรพรรดิ นับหมื่นตัวพร้อมใจกันละทิ้งทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็ง ออกเดินทางหลายร้อยกิโลไปยังดินแดนอันเหน็บหนาว เพื่อสืบทอดสายพันธุ์
กระทั่งนกตัวเมียออกไข่ และส่งไข่ใบน้อยให้ตัวผู้ฟูมฟักรักษา“หัวใจดวงน้อย ที่เต้นอยู่ในเปลือกไข่นั้นเปราะบางในดินแดนน้ำแข็งกว้างใหญ่”
การเดินทางของนกเพนกวินตัวเมีย ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปหาอาหารกลับ มาให้ลูกน้อยที่จะลืมตาออกมาดูโลกในไม่ช้า และนับจากนี้ไป ทุกอิริยาบถของพ่อนกและแม่นก จะเป็นไปเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ รักษาชีวิตใหม่ให้อยู่รอด
ท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บ บรรดาพ่อนกต่างซุกไข่ไว้ในอุ้งเท้า ยืนเบียดชิดกัน ต้านทานที่สุดของพายุหิมะ แต่บางตัวก็ไม่สามารถก้าวผ่านเส้นชีวิตใน ครั้งนี้ได้ และต้องจากไปชั่วนิรันดร์ ขณะที่แม่นกเองก็ต้องเดินฝ่าฟันพายุหิมะด้วยความรู้สึกว่า “การเดินทางภายใต้แสงจันทร์ ท่ามกลางราตรี ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ”
หนึ่งชีวิตที่สูญเสียไป บางทีก็มิใช่แค่เพียงชีวิตเดียวเท่านั้น เหมือนชีวิตของแม่นกที่ถูกสัตว์น้ำในมหาสมุทรกัดกิน
“เพียงหนึ่งอุ้งปากของสัตว์ร้าย ทำให้สองชีวิตต้องจบลง” เพราะชีวิตของลูกนก ที่รอคอยอาหารจากแม่นั้นต้องจบไปเช่นเดียวกัน
100 วันผ่านไป ด้วยความอดทนในการฟูมฟักและทะนุถนอมของพ่อนก เจ้าเพนกวินตัวน้อยก็ได้เวลาออกมาจากไข่ ลืมตามองโลกอันกว้างใหญ่
“นี่คือรางวัลแห่งชัยชนะเหนือฤดูหนาว” พ่อนกรำพึงเมื่อเห็นลูกตัวน้อย “โอ้ ชีวิตแสนเล็กจ้อย ช่างงดงามยิ่งนัก ราวภาพฝันในความหนาวที่คุกคามเรา ที่สุดของความทุกข์ทรมานก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ละวันที่มาถึงปลดปล่อยลูกนกออกจากไข่..”
แต่ชีวิตใหม่ของลูกนกจะดำรงอยู่ได้อย่างไรกัน ถ้าแม่นกไม่กลับมาพร้อมอาหาร !!
ขณะที่แม่นกเองก็รู้ดีว่า เวลาฟักไข่ได้มาถึงแล้ว พวกมันจึงรีบเร่งฝีเท้าเต็มที่ ด้วยความรู้สึกว่า
“ใครจะชนะ..ชีวิตหรือฤดูหนาว..เร็วเข้า..ไข่ฟักแล้ว ลูกต้องการแม่..รอช้าไม่ได้”
แม่นกบางตัวกลับมาทันป้อนอาหารให้ลูก ขณะที่บางตัวก็ล่าช้า และไม่ทันการ
“ความพยายามทั้งปวงแตกสลายลงไปกับลมหนาว” เป็นความรู้สึกของแม่นกที่ต้อง สูญเสียลูกน้อย
เมื่อแม่นกกลับมารับหน้าที่ดูแลลูก พ่อนกก็เริ่มต้นออกเดินทางออกหาอาหาร หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเลยกว่า 3 เดือน
แม่นกเฝ้าดูแลลูกที่เพิ่งเกิดมาอย่างใกล้ ชิด ด้วยความรักและห่วงใย เพราะสองเท้า ของลูกน้อยยังไม่มั่นคงแข็งแรงพอที่จะยืนหยัดได้เพียงลำพัง
“ก้าวเดินครั้งแรกของลูก ก็ยังไปได้ไม่ ไกลนัก ความหนาวทำให้ไม่นานก็ต้องกลับมาหาแม่ เราปล่อยลูกออกไปไม่ได้ ลูกยังอ่อนแอ ยังต้องการไออุ่นจากเรา ความหนาวเย็นรอบตัวเรา จับจ้องเราอยู่ สำหรับเรา ความหนาวไม่รุนแรงแล้ว แต่สำหรับลูก เราต้องฝึกเขาให้แข็งแรง”
ลูกนกตัวน้อยค่อยๆโตวันโตคืนตามวันเวลาที่ผันผ่าน และวันหนึ่งลูกนกก็บอกกับตัวเองว่า
“ถึงเวลาแล้ว เลี่ยงไม่ได้ เราพึ่งตัวเองได้แล้ว”
การพึ่งตัวเองของเจ้านกเพนกวินตัวน้อยซึ่งขนยังเป็นสีเทาทั้งตัว (ยังไม่เหมือน พ่อแม่ที่ด้านหน้าเป็นสีขาวและด้านหลังเป็นสีดำ) ก็คือการที่ไม่ต้องซุกอยู่กับอกแม่ตลอดเวลานั่นเอง และในสายตาของลูกนกที่มองดูความเป็นไปในชีวิตของพ่อแม่และตัวเองนั้น มันรู้สึก(เหมือนเด็กๆ)ว่า
“ไปๆมาๆพ่อแม่มี 2 ด้าน ด้านสีขาว ดี แปลว่า อาหารเต็มกระเพาะกำลังมา สีดำ ไม่ดีเท่าสีขาว แปลว่า กระเพาะแห้ง ต้องจากไป แต่เราไม่เหมือนพ่อแม่ ขนเราทั้งสองข้างเป็นสีเทา แปลว่า เราหิวตลอดเวลา”
เพราะการกลับมาของแม่นกที่เห็นด้านหน้าสีขาวมาแต่ไกลนั้น ก็คือการกลับมาพร้อมกับอาหาร และการจากไปของพ่อนกที่เห็นแต่เพียงด้านหลังสีดำๆ ก็ เพราะอาหารที่สะสมไว้ในตัวได้หมดลง แล้ว
วัฏจักรแห่งชีวิตของเพนกวินยังดำเนิน ไปตามฤดูกาล เพราะในไม่ช้าเมื่อลูกนกตัวน้อยเติบโตขึ้น และพร้อมที่จะเป็นพ่อนกแม่นกรุ่นต่อไป มันก็ต้องเดินตามรอยบรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่เกิดและเติบโตในดินแดนอันหนาวเย็น
ดูชีวิตของนกเพนกวินแล้ว ต้องย้อนมองชีวิตของตัวเองและผู้คนรอบข้าง ดังเช่นที่พระท่านบอกไว้ว่า
“มองเป็นก็เห็นธรรม”
และที่มองเห็นแน่ๆในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือสัจธรรม การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป นั่นเอง
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 98 ม.ค. 52 โดยเมฆขาว)