ถ้าโฟกัสกันแบบตรงไปตรงมา นาทีนี้ต้องยอมรับว่าอดีต “เขยซีพี” อย่าง วีระชัย วีระเมธีกุล ย่อมเป็นรัฐมนตรีระดับแถวหน้าที่ต้องถูกสังคมตรวจสอบแบบไม่วางตากันเลยทีเดียว นอกเหนือจากการที่โผล่พรวดพราดข้ามหน้าข้ามตาคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่นั่งต่อคิวเรียงแถวกันยาวเหยียด
กระโดดขึ้นมาคว้าโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1” จนทำเอาเกือบวงแตก
มีรายการแฉโพยเรื่องค่าเก้าอี้ 80 ล้านกันเจี๊ยวจ๊าวลั่นพรรคมาแล้ว
แต่ในอีกมุมหนึ่งถือว่าถ้าสามารถฝ่าด่านหินในพรรคประชาธิปัตย์มายืนอยู่ตรงนี้ได้ มันก็ย่อมมีคำตอบอยู่ในตัวระดับหนึ่งแล้วว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดา ส่วนจะไม่ธรรมดาแบบไหนค่อยมาว่ากันทีละประเด็น
พิจารณาจากแบ็กกราวด์ ประวัติทางการเมืองเข้าข่าย “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” ที่น่าจะมีน้อยคนนักจะทำได้ เพราะเริ่มหันเหเส้นทางจากภาคธุรกิจเข้ามาสู่วงการเมืองตั้งแต่ปี 2543 ก็เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในสังกัดพรรคไทยรักไทย
แม้ยังไม่เคยเป็นรัฐมนตรี แต่ในระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีในรัฐบาล “เสี่ยแม้ว” ถือว่าผ่านมาหลายหน่วยงานทั้งในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คลัง ต่างประเทศ และล่าสุดในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ยังโผล่มาเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเสียอีก
แค่ข้อมูลคร่าวๆข้างต้นก็น่าจะการันตีในเรื่องของคอเนกชั่นส่วนตัวได้กว้างขวางพอสมควร
ล่าสุดผลจากการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกวานนี้(23 ธ.ค.) ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลทางด้านเศรษฐกิจ อย่างเต็มตัว ส่อแววว่าจะทำงานเคียงคู่ไปกับนายกรัฐมนตรีเสียอีก แม้ว่าในเบื้องต้นยังไม่อาจแยกแยะในรายละเอียดได้ เนื่องจากยังต้องรอขั้นตอนการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาก่อน
แต่เมื่อดูปูมหลังแล้วน่าจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะทุนจากจีนในฐานะที่เคยเป็นผู้บริหารธนาคารในประเทศนั้นมาก่อน
อย่างไรก็ตามถ้ามองด้วยสายตาอย่างเป็นธรรม จากประวัติทั้งด้านผู้บริหารทางธุรกิจ และการเมืองในหลายยุคหลายรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะพอเชื่อมือได้ในระดับหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่ภาพติดตัวในเรื่องตัวแทน “กลุ่มทุน” ยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะภาพความเป็นอดีต “เขยซีพี” ยังติดตัวมาตลอด สลัดยังไงก็ยาก
ในสถานการณ์แบบนี้สิ่งเดียวที่คนอย่าง วีระชัย ต้องเร่งทำ นั่นคือต้องพิสูจน์ฝีมือให้สังคม รวมทั้งคนในพรรคประชาธิปัตย์ได้เห็นว่าเขาเป็น “ของจริง” กระโดดเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเที่ยวนี้ มาจากความสามารถส่วนตัวล้วนๆ
มีศักยภาพโดดเด่นเหนือคำบรรยาย เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดารัฐมนตรีคนอื่นๆในพรรค และรวมไปถึงรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่น หรือกลุ่มก๊วนที่แยกขั้วมาสนับสนุน “อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรีที่ล้วนมีเสียง “ยี้” ดังระงม
ต้องทำให้เห็น เหมือนกับคำร้องขอโอกาสให้ตัวเองทั้งน้ำตาที่ว่า “ให้ผมได้ทำงานแสดงฝีมือสักระยะหนึ่งก่อน” ซึ่งถ้าสอบผ่านไปได้ถือว่า หนทางข้างหน้า ของ วีระชัย วีระเมธีกุล ก็โลดแล่นเติบโตในเส้นทางสายนี้ได้อีกไกล
แต่ในทางตรงกันข้ามหากผลออกมาอีกแบบมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกสังคมมองว่าใช้ “ทุน”เป็นใบเบิกทางเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรี และถ้าผลออกมาแบบนี้จริง ก็ให้หลับตานึกภาพเอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าจุดจบจะเป็นแบบไหน
อีกไม่นานก็น่าจะได้เห็นกัน !!
กระโดดขึ้นมาคว้าโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1” จนทำเอาเกือบวงแตก
มีรายการแฉโพยเรื่องค่าเก้าอี้ 80 ล้านกันเจี๊ยวจ๊าวลั่นพรรคมาแล้ว
แต่ในอีกมุมหนึ่งถือว่าถ้าสามารถฝ่าด่านหินในพรรคประชาธิปัตย์มายืนอยู่ตรงนี้ได้ มันก็ย่อมมีคำตอบอยู่ในตัวระดับหนึ่งแล้วว่าคนๆนี้ไม่ธรรมดา ส่วนจะไม่ธรรมดาแบบไหนค่อยมาว่ากันทีละประเด็น
พิจารณาจากแบ็กกราวด์ ประวัติทางการเมืองเข้าข่าย “มนุษย์พันธุ์พิเศษ” ที่น่าจะมีน้อยคนนักจะทำได้ เพราะเริ่มหันเหเส้นทางจากภาคธุรกิจเข้ามาสู่วงการเมืองตั้งแต่ปี 2543 ก็เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในสังกัดพรรคไทยรักไทย
แม้ยังไม่เคยเป็นรัฐมนตรี แต่ในระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีในรัฐบาล “เสี่ยแม้ว” ถือว่าผ่านมาหลายหน่วยงานทั้งในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คลัง ต่างประเทศ และล่าสุดในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ยังโผล่มาเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเสียอีก
แค่ข้อมูลคร่าวๆข้างต้นก็น่าจะการันตีในเรื่องของคอเนกชั่นส่วนตัวได้กว้างขวางพอสมควร
ล่าสุดผลจากการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกวานนี้(23 ธ.ค.) ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลทางด้านเศรษฐกิจ อย่างเต็มตัว ส่อแววว่าจะทำงานเคียงคู่ไปกับนายกรัฐมนตรีเสียอีก แม้ว่าในเบื้องต้นยังไม่อาจแยกแยะในรายละเอียดได้ เนื่องจากยังต้องรอขั้นตอนการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาก่อน
แต่เมื่อดูปูมหลังแล้วน่าจะเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะทุนจากจีนในฐานะที่เคยเป็นผู้บริหารธนาคารในประเทศนั้นมาก่อน
อย่างไรก็ตามถ้ามองด้วยสายตาอย่างเป็นธรรม จากประวัติทั้งด้านผู้บริหารทางธุรกิจ และการเมืองในหลายยุคหลายรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะพอเชื่อมือได้ในระดับหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่ภาพติดตัวในเรื่องตัวแทน “กลุ่มทุน” ยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะภาพความเป็นอดีต “เขยซีพี” ยังติดตัวมาตลอด สลัดยังไงก็ยาก
ในสถานการณ์แบบนี้สิ่งเดียวที่คนอย่าง วีระชัย ต้องเร่งทำ นั่นคือต้องพิสูจน์ฝีมือให้สังคม รวมทั้งคนในพรรคประชาธิปัตย์ได้เห็นว่าเขาเป็น “ของจริง” กระโดดเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเที่ยวนี้ มาจากความสามารถส่วนตัวล้วนๆ
มีศักยภาพโดดเด่นเหนือคำบรรยาย เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดารัฐมนตรีคนอื่นๆในพรรค และรวมไปถึงรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่น หรือกลุ่มก๊วนที่แยกขั้วมาสนับสนุน “อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรีที่ล้วนมีเสียง “ยี้” ดังระงม
ต้องทำให้เห็น เหมือนกับคำร้องขอโอกาสให้ตัวเองทั้งน้ำตาที่ว่า “ให้ผมได้ทำงานแสดงฝีมือสักระยะหนึ่งก่อน” ซึ่งถ้าสอบผ่านไปได้ถือว่า หนทางข้างหน้า ของ วีระชัย วีระเมธีกุล ก็โลดแล่นเติบโตในเส้นทางสายนี้ได้อีกไกล
แต่ในทางตรงกันข้ามหากผลออกมาอีกแบบมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกสังคมมองว่าใช้ “ทุน”เป็นใบเบิกทางเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรี และถ้าผลออกมาแบบนี้จริง ก็ให้หลับตานึกภาพเอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าจุดจบจะเป็นแบบไหน
อีกไม่นานก็น่าจะได้เห็นกัน !!