xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจ:ธรรมะไม่ใช่สินค้าแบกะดิน มันไม่ใช่ของยัดเยียดให้ใครต่อใคร ธรรมะนั้นถ้าไม่เปิดใจขึ้นมารับ จะรับไม่ได้หรอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ครั้งที่ 005
รักษาศาสนาได้ดีที่ใจ

สามเดือนก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน พระองค์ท่านไม่ได้เทศน์เรื่องอื่นเท่าไรหรอกนะ ในพระไตรปิฎกบอกสามเดือนก่อน ปรินิพพานเนี่ย เทศน์อริยสัจเป็นส่วนมาก เทศน์แต่อริยสัจ เพราะฉะนั้นอริยสัจเนี่ยสำคัญ ตราบใดที่อริยสัจยังอยู่ ศาสนาพุทธก็ยังอยู่ ถ้า อริยสัจหายไปก็คือศาสนาพุทธหายไปแล้ว งั้นพวกเรามีหน้าที่เรียนอริยสัจนะ เรียนเพื่อความพ้นทุกข์ของตนเองด้วย เรียนเพื่อจะสืบทอดศาสนาไว้ด้วย ไม่มีที่ใดจะรักษาศาสนาได้ดีเท่าที่ใจของเรานะ ถ้าธรรมะเข้ามาสู่ใจของเราแล้วเนี่ย ใจของเรานี่แหละเป็นที่รักษาธรรมะเอาไว้ ทรงธรรมเอาไว้ จิตเนี่ยแหละที่ทรงธรรมเอาไว้ ธรรมะไปใส่ตู้ไว้หายนะ หาย วันหนึ่งก็หมด เอาธรรมะไปฝากไว้กับพระวันหนึ่งก็หมดนะ วันหนึ่งพระ ก็ต้องหมดไป พระพุทธเจ้าเลยไม่ได้ฝากธรรมะ ฝากศาสนาไว้กับพระนะ ฝากไว้ กับบริษัท 4 ถือว่าเป็นบริษัทเดียวกันนะ ทุกคนมีหน้าที่ ชาวพุทธมีหน้าที่ 2 อย่าง หนึ่งเรียนธรรมะให้รู้เรื่องให้เข้าใจ ให้ธรรมะมาสู่ใจของเราให้ได้ อย่างที่สองทรงไว้ซึ่งธรรมะ เจอคนที่ควรบอกก็บอก ไม่เจอคนที่ควรบอก ก็ไม่บอก นี้เป็นหลักที่ผู้รู้ทั้งหลายเขาใช้กัน อย่างพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายพอตรัสรู้แล้วไม่มีคนสมควรบอก ท่านก็ไม่ได้บอกอะไร ไม่ใช่ท่านสอนไม่ได้นะ เรามักจะคิดว่า พระปัจเจกสอนไม่เป็น มันไม่มีคนที่ควรจะเรียนน่ะ ภูมิความรู้ของท่านมากกว่าพระสารีบุตรอีก อย่างน้อยท่านก็บอกได้ว่าที่ท่าน ทำมาเนี่ย ท่านเดินมาได้อย่างไร ท่านก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเส้นทางเดินของท่าน ท่านเดินมาได้ยังไง อย่าว่าแต่พระปัจเจกเลย สาวกทั่วๆ ไปเนี่ยแหละ พอเดินไปได้แล้ว ก็ย่อมจะรู้ว่า เดินมาได้ยังไงเป็น เรื่องธรรมดา คือถ้าไม่มีคนควรบอกก็ไม่บอกนะ เฉยๆ ดีกว่า หลวงปู่ดูลย์ก็สอนนะ บอกว่า มีเวลา บอกได้นะสมควรบอกก็บอกไป ถ้าบอกไม่ได้นะอยู่เฉยๆ ดีกว่า ธรรมะไม่ใช่สินค้าแบกะดิน ไม่ใช่เที่ยวยัดเยียดให้ใครต่อใคร มันไม่ใช่ของยัดเยียด ธรรมะนั้นถ้าไม่เปิดใจขึ้นมารับนะ รับไม่ได้หรอก ถ้าใจของเราปิดซะอย่างเดียวนะ รับไม่ได้ พวกเด็กๆ บางทีเรียนธรรมะได้ง่ายใจมันเปิด แต่ผู้ใหญ่ยิ่งโต ใจยิ่งปิดนะ ใจยิ่งปิด คับแคบเพราะว่ามีของที่เคยเชื่อถือเอาไว้เยอะแล้ว ใจปิด ฟังสิ่งใหม่ๆ ฟังยาก พอฟังสิ่งใหม่ๆ นะจะเอาไปเทียบกับของเก่า ตลอดเวลาเลย นึกว่าของเก่าดีวิเศษ ถ้าดีวิเศษจริงนะมันหลุดพ้นไปแล้วล่ะ มันไม่ต้องทุกข์อยู่จนวันนี้หรอก คือถ้าใจของเราเปิดนะเปิดรับธรรมะก็รับง่าย ใสๆ ซื่อๆ นะ ค่อยเรียนรู้ไป

'สังเกตอย่างหนึ่งมั้ยต้อม?' ในสมัยพุทธกาลเนี่ยไม่เห็นพระพุทธเจ้าทรงสอนเลยว่าให้นั่งยังไง ให้เดินยังไง ให้หายใจยังไง ไม่มีสอนแต่เนื้อของธรรมะ ถ้าหากว่านั่งอย่าง นั้นดี เดินอย่างนี้ดีนะ พระพุทธเจ้าคงสอนไว้แล้วล่ะ ไม่ต้องรอให้อาจารย์ชั้นหลังมาสอนหรอก ทำไมไม่สอน เพราะไม่จำเป็นต่อ ความพ้นทุกข์ พวกเรารุ่นหลังนะ เรียนธรรมะมากๆ เราไปติดอยู่ที่รูปแบบ สำนักนี้ต้องนั่งอย่างนี้ สำนักนี้ขยับอย่างนี้ สำนักนี้เดินอย่างนี้ แล้วก็เริ่มเถียงกันนะว่าอันไหนดีกว่าอันไหน ลืมอริยสัจ ลืมธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อาศัยศรัทธาเชื่ออาจารย์มั่ง เชื่อเพื่อนมั่งนะ ลากๆ กันไป ถ้าเดินท่านี้ นั่งท่านี้ หายใจท่านี้ แล้ววันหนึ่งมันจะรู้แจ้ง เริ่มเก่งกว่าพระพุทธเจ้าแล้วนะ งั้นเรียนนะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรียนไว้ ฟัง ฟังแล้วเอามาดู อริยสัจสำคัญมากนะให้รู้ลงที่กาย ให้รู้ลงที่ใจ รู้ตามความเป็นจริง รู้เพื่ออะไร รู้เพื่อเห็นความเป็นจริงของกายของใจ รู้เพื่อเห็นความจริงของกาย ของใจว่าไม่เที่ยงนะ เป็นทุกข์นะ ไม่ใช่ตัวเราหรอก งั้นหน้าที่เรียนรู้ กาย เรียนรู้ใจ รู้ลงไปตรงๆ รู้ลงที่กาย รู้ลงที่ใจ รู้บ่อยๆ รู้จนเห็นความจริง อย่าไปคิดเอาเอง อย่าไปคิดเอาเองว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ ตัวเรา ถ้าไปคิดเอาเองได้นะนักคิดทั้งหลายบรรลุไปหมดแล้ว พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่าไม่ให้เชื่อปรัชญา ไม่เชื่อตรรกะนะ ไม่เชื่อการใช้เหตุผลการคิดเอา ให้รู้เอา รู้ลงที่กาย รู้ลงที่ใจ รู้เนืองๆ รู้ตามที่เป็นด้วย ถ้าเมื่อไรเราใจลอยไป เราเผลอไป เราก็ลืมกายลืมใจ ศัตรูเบอร์หนึ่งเลย ใจลอยไป เผลอไป คิดไป ใครเคยเรียนอภิธรรมจะทราบเลย จิตนั้นรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว พอจิตไปรู้อารมณ์บัญญัติคือเรื่องราวที่คิดซะแล้วเนี่ย จิตจะรู้อารมณ์ปรมัตถ์ คือรู้กาย รู้ใจไม่ได้ งั้นการที่จิตเราหลงไปคิดนี่ล่ะ คือศัตรูอันดับหนึ่ง หลงคิดเพลินๆ ไปนะ แต่หลงคิดดีๆ ก็ใจสงบ ได้สมถะก็ดีเหมือนกัน

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า/
วิปัสสนาเริ่มเมื่อพ้นจากความคิด)
กำลังโหลดความคิดเห็น