xs
xsm
sm
md
lg

คุณของศีล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศีล เป็นเบื้องต้นของการทำความดีทั้งปวง ๑ ศีลเป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งปวง ๑ และศีลเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย ๑
ศีล ท่านแสดงไว้มีอรรถ ๔ ด้วยอรรถว่า ความปกติ ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นของเย็น ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นของสูง ๑ ด้วยอรรถว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ๑

ข้อ ๑ ว่าเป็นปกติ
นั้น เพี้ยนมาจากสิลา(คือหิน)ธรรมดาหินแล้วไม่มีการงอกการเกิดอีก สภาพของมันเป็นอยู่เช่นไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป ศีลก็เหมือนกันที่ท่านแสดงว่าผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้นๆ จะต้องได้รับโทษอย่างนั้นๆตายตัวเลยทีเดียว ใครจะทำเมื่อไร ณ ที่ไหน โทษของการล่วงละเมิดศีลจะต้องมีอยู่เท่าเก่าไม่ลดหย่อนเลย ถ้าผู้ใดมาปฏิบัติตามศีล งดเว้นจากข้อห้ามนั้นๆแล้ว กาย วาจา ใจของผู้นั้นจะต้องเป็นปกติไปด้วย คือได้แก่ไม่ล่วงละเมิดในศีล

ข้อ ๒ ว่าเป็นของเย็นนั้น แปลว่าเย็น อธิบายว่าศีลมีจุดมุ่งหมายมิให้เบียดเบียนกัน ไม่ว่ามนุษย์สัตว์ทั้งหลายทั่วไป เมื่อไม่มีการเบียดเบียนกันแล้วก็อยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน ผู้ใดปฏิบัติตามศีล เอาศีลเข้ามาสวมคุ้มครองตนไว้ ผู้นั้นก็เป็นผู้เย็นกายเย็นใจ คือ ไม่มีเวรมีภัย มนุษย์สัตว์ทั้งหลายก็พลอยเย็นไปตามด้วย
ข้อ ๓ ว่าเป็นของสูงนั้น แปลมาจากศีรษะ แปลว่าสูง อธิบายว่าศีลเป็นคุณธรรมที่สูงเหนือจากความชั่วอกุศลธรรมทั้งหลายที่เป็นของต่ำช้าเลวทราม ผู้นำเอาศีลคือข้อห้ามต่างๆ มาปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นแล้ว ความประพฤติและจิตใจของผู้นั้น ก็พลอยสูงไปตามด้วย
ข้อ ๔ ที่ว่าผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้วนั้น ศีลทุกข้อเป็นกัลยาณธรรม น่าสรรเสริญเพราะปราศจากโทษ ไม่มีความชั่วบาปธรรม เมื่อผู้ใดนำเอาศีลมาปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อนั้นๆแล้ว ผู้นั้นก็จะเป็นที่น่าชมเชยสรรเสริญไปด้วย
ศีล เป็นเบื้องต้นก้าวแรกของผู้จะทำความดีทั้งปวง ถ้าเว้นข้ามศีลข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งหมดเสียแล้ว จะทำความดีให้ก้าวขึ้นไปสู่ชั้นสูงไม่ได้เลย ศีลเปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ ต้นไม้ที่ปราศจากรากแก้วแล้ว จะอยู่ยืนนานและงอกงามต่อไปไม่ได้เลย
ผู้จะบวชเป็นพระ-เณรในพระพุทธศาสนาได้ก็ต้องมีศีลเป็นมูลฐาน บวชเข้ามาแล้วไม่ตั้งอยู่ในศีล วินัย พุทธบัญญัติ จะมีอะไรเป็นเครื่องหมายพุทธมามกบริษัทถ้าไม่มีศีลแล้ว ก็เป็นแต่เพียงทายกทายิกาเท่านั้นเอง ตอนเช้านี้จึงได้บอกว่า จงพากันมาเป็นพระกันบ้าง อย่าได้ปล่อยให้วันพระล่วงไป ๆ เสียเปล่าเลย

แต่ตัวของเราไม่เป็นพระกันสักที เจ็ดวันเป็นพระกันเสียทีหนึ่งก็ยังดี หรือจะบวชพระอยู่ตลอดชีวิตก็ยังได้ ไม่เห็นเป็นของลำบากอะไรเลย ผู้เป็นพระด้วยการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ แล้วเย็นกายเย็นใจ ด้วยเราไม่ได้มองเห็นโทษเพราะละเมิดในศีลข้อนั้นๆและไม่ได้กลัวต่อคำครหาติเตียนของคนอื่นในเรื่องโทษของศีล ไฟที่ติดลุกลามร้อนระอุอยู่ทั่วทั้งโลกทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีศีล คนผู้ไม่มีศีลจะอยู่ในฐานะใดๆ และสถานที่ใด แม้จะอยู่บนปราสาทอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆก็ไม่มีความเย็นใจ คนอื่นเขาไม่เห็น ไม่รู้ และไม่ได้กล่าวโทษติเตียน เป็นแต่เขาพูดกันเรื่องความชั่ว เรื่องคนไม่มีศีล พอได้ยินเข้ามันชักให้ร้อนแปล๊บ เข้ามาในใจของเราแล้ว

ผู้ทำปาณาติบาตเป็นผู้มีจิตปราศจากเมตตา หาความเย็นมิได้ ไฟ คือ ราคะ-โทสะ-โมหะ-อวิชชา ขนาดหนักย่อมรุมร้อนเผาจิตใจให้คิดแต่จะประทุษร้ายสัตว์และคนอื่น บางครั้งทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลย จะเห็นได้ เช่น บางคนเที่ยวฆ่าสัตว์ ตีศีรษะเขาด้วยความคึกคะนองอันมิใช่วิสัยของธรรมดาสามัญชน แต่แสดงถึงจิตใจนั้นต่ำเลวที่สุดยิ่งกว่ายักษ์ มันตรงกันข้ามกับผู้มีศีลแล้ว ไม่เพียงแต่จะงดเว้นจากโทษนั้นๆตามพุทธบัญญัติ แต่จิตยังประกอบด้วยเมตตาอารี มีพรหมวิหารธรรมอันเย็นฉ่ำเข้าไปแทนอยู่อีก
พวกเราผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อมาพิจารณาดูศีลในตัวเราว่าเวลานี้เรามีศีลเป็นรากฐานพอที่จะทำความดีให้ยิ่งขึ้นไปได้สมบูรณ์แล้วหรือยัง ถ้าเห็นว่ายังบกพร่องอยู่ จงพากันรีบเร่งชำระสะสางให้สะอาดบริสุทธิ์เสีย แล้วจะได้ประกอบความดีอื่นๆที่ยังจะต้องกระทำอยู่มาก เพิ่มพูนให้ยิ่งๆขึ้นไป ถ้าเห็นว่าศีลของตนบริสุทธิ์แล้ว ก็จะได้เกิดความปราโมทย์ในใจว่า ตัวของเราช่างโชคดี บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาไม่เสียผล เราคนหนึ่งในจำนวนที่เดินตามรอยยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ใจของเราก็จะได้หนักแน่นในพระพุทธศาสนายิ่งๆขึ้นไป สมนัยแห่งอริยธนคาถาว่า
ยสฺส สทฺธา ตถาคเตอจลา สุปติฏฐิตา
สีลญฺจ ยสฺส กลฺยาณํอริยกนฺตํ ปสํสิตํ ฯ

เป็นอาทิ ซึ่งแปลเอาใจความเพื่อแนวปฏิบัติของพวกเราทั้งหลายว่า ผู้ใดมีความเชื่อมั่น ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าแล้ว จึงจะมีศีลอันดีงามตามคำสรรเสริญของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ต่อนั้นจึงจะเลื่อมใสใจแน่วแน่ในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ เพราะเข้าถึงศีลอันดีงาม รู้รสชาติของศีลด้วยกัน และได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เห็นความปฏิบัติที่ซื่อตรงแล้ว ผู้เป็นเช่นว่านี้ปราชญ์ทั้งหลายท่านกล่าวว่า เป็นผู้ไม่จนอริยทรัพย์ เกิดมามีชีวิตเป็นของไม่ไร้ค่า
ฉะนั้น ผู้มีปัญญามาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็ควรประกอบด้วยความเชื่อ มีศีล และเลื่อมใสเห็นในธรรมเนืองๆ ดังนี้ ฯ
การบวชด้วยการรักษาศีลทุกประเภทตั้งแต่ ศีล ๕ ศีล ๘ เป็นต้นไป จัดได้ชื่อว่าเป็นพระตามชั้นตามภูมิของตนๆ ได้เคยแสดงให้ฟังมาแล้วว่า มิใช่เป็นพระได้แต่เฉพาะผู้บวชนุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้น ผู้นุ่งห่มผ้าสีต่างๆก็เป็นพระได้เหมือนกัน เช่นพระอริย ๓ จำพวกเบื้องต้น ถ้าพากันโยนพระเข้าวัดมอบให้แก่ผู้นุ่งห่มเหลืองทั้งหมดแล้ว ชาวบ้านเลยไม่ต้องประกอบคุณงามความดีอะไรกันเลย เข้าวัดเมื่อไรจึงทำความดีกันเมื่อนั้น ออกจากวัดแล้วความดีเหล่านั้นก็ฝากไว้ที่วัดก่อน มาเข้าวัดทีหลังจึงมาทำต่อ ถ้าผู้นานๆ จึงเข้าวัดก็เลยลืมที่ต่อเสีย โดยมากมักเข้าใจผิดกันเสียอย่างนี้ เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เวลาสึกออกไปแล้วจึงไม่เห็นผิดแปลกอะไรกับคนผู้ไม่ได้บวชเสียเลย ความเห็นผิดเข้าใจผิดย่อมเป็นเหตุให้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควร ทั้งเวลาบวชอยู่และสึกออกไปแล้วหลายอย่างหลายประการ บวชแบบนี้เรียกว่าเป็นการบวชบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา หาบุญกุศลไม่ได้

(อ่านต่อฉบับหน้า)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 93 ส.ค. 51 โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย)
กำลังโหลดความคิดเห็น