คงจะดีไม่น้อยถ้าแต่ละคนปันพื้นที่ในหัวใจให้กับ ‘ธรรมะ’ ดังเช่นผู้ชายคนนี้ ‘หรั่ง ร็อคเคสตร้า’ หรือ ‘ชัชชัย สุขาวดี’
หรั่ง ร็อคเคสตร้า ซึ่งหลายคนรู้จักเขาในฐานะ ‘ร็อคเกอร์’ ผู้มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถถ่ายทอดทุกบทเพลงออกมาได้อย่างละเมียดละไมและทรงพลัง เรียกเสียงปรบมือกึกก้องมาแล้วทุกเวทีคอนเสิร์ต
แม้ในยามที่บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในภาวะความไม่ไว้วางใจถึงศีลธรรม และความผิดชอบชั่วดีของผู้นำอันพึงมีต่อประเทศชาติ หรั่งก็หาญกล้าขึ้นมาขับขานบทเพลงปลุกใจ บนเวทีพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย โดยไม่หวั่นเกรงภัย เพื่อช่วยกระตุ้นจิตสำนึกให้คนไทยออกมาแสดงความรู้สึกร่วมกันในการปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่ง
“ผมคิดว่าทุกวันนี้คนเราควรจะมีความ รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ซึ่งผมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้บ้านเมืองอยู่รอด โดยเฉพาะผู้นำประเทศ ต้องยึดหลักเรื่องนี้ไว้ประจำตัว เพราะถ้าขาดสิ่งนี้เมื่อไร บ้านเมืองก็จะมีแต่ความวุ่นวาย
ดังนั้น มนุษย์ทุกคนควรจะแบ่งพื้นที่ในห้องหัวใจไว้สำหรับการนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของศีลธรรม เพราะเป็นตัวการสำคัญในการควบคุมจิตใจให้เกิดสำนึกผิดชอบชั่วดีต่อสังคม เพราะถ้าเมื่อไรก็ตามที่เรามีศีลธรรมอยู่ในหัวใจแล้ว ก็จะไม่เกิดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง มากเกินไป จนนำไปสู่กิเลสในชีวิตยากที่จะหาทางแก้ไขได้”
หรั่งเล่าว่าถึงแม้ชีวิตในวัยเยาว์ของเขาแทบจะไม่ค่อยได้เข้าไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัดเท่าไรนัก ด้วยต้องจากถิ่นเกิดสุราษฎร์ธานี มาตั้งแต่อายุ 13 ปี เพราะต้องเดินทางมาศึกษาที่โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ กรุงเทพมหานคร เพื่อเรียนวิชาการทางด้านดนตรีและเก็บเกี่ยวความรู้ที่ได้รับให้เกิดความชำนาญมากที่สุด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบวิชาชีพต่อไป
“ผมเข้ามาเรียนที่โรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือ ก็ได้เล่นกลอง ทรัมเปต เฟรสช์ฮอร์น คีย์บอร์ด และเรียบเรียงเสียงประสาน จนพอรู้งานอยู่บ้าง จากนั้นจึงได้รับบรรจุใน ตำแหน่งนักร้องประจำวงซิมโฟรี ออเคสตรา ราชนาวี ของกองทัพเรือไทย”
ในขณะที่เขาได้รับการบรรจุให้เป็นนักร้องประจำวงซิมโฟนีของกองทัพเรือไทยอยู่นั้น เขาก็มีโอกาสได้รับใช้ประเทศชาติหลายครั้งด้วยการใช้เสียงเพลงร้องปลุกใจคนให้เกิดความรักชาติร่วมกัน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับในเรื่อง ของศาสนามากนัก กระทั่งเขาได้รวมตัวกับเพื่อนๆทำผลงานเพลงในชื่อ ‘ร็อคเคสตร้า’ ออกมา ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่โดดเด่นไปทาง การนำหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นชื่อเพลงแทบทั้งสิ้น เพื่อให้คนฟังได้ตระหนักในหลักธรรมคำสอน
“ผลงานเพลงชุดแรกๆของผม ส่วนใหญ่ จะมีชื่อเพลงเพียงแค่พยางค์เดียวเท่า นั้น เพลงแต่ละชื่อก็จะเน้นไปที่เรื่องคำสอน ทางศาสนาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเพลง ‘โลง’ ที่ถ่ายทอดออกมาเพื่อบอกให้ทุกคนรู้ ว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นเศรษฐีร่ำรวย หรือว่า ยาจกผู้ต่ำต้อย ก็ไม่สามารถหลีกหนีกฎของธรรมชาติคือการเวียนว่ายตายเกิดไปได้ หรือเพลง ‘วิ่ง วิ่ง วิ่ง’ ที่หลายคนชอบกันนักหนานั้น ผมก็พยายามที่จะสอดแทรกเนื้อหาทางธรรมเข้าไปให้คนทั่วไปได้รับรู้ว่า ในโลกใบนี้เราสามารถวิ่งหนีอะไรได้ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถวิ่งหนีความจริงไปได้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีเราต้องมีสติ และพิจารณาปัญหาโดยละเอียด เพื่อแก้ไขปัญหาที่เข้ามาให้ผ่านไปได้อย่างชาญฉลาด”
หรั่งเล่าถึงการควบคุมสติของตัวเอง ที่เขาใช้เป็นหลักยึดจนถึงปัจจุบันนี้ว่า หลังจากที่เขาได้มีโอกาสทำผลงานเพลงและได้ร้องเพลงเกี่ยวกับหลักคำสอนทางศาสนาแล้ว จึงเป็นตัวจุดประกายที่ทำให้เขารู้ว่า การที่คนเราหันมายึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิต ก็จะทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น เขาจึงเลือกการควบคุมสติของตัวเองด้วยการไปนั่งเจริญวิปัสสนาที่วัด เพื่อช่วยให้เขารู้เท่าทันจิตใจตัวเองมากยิ่งขึ้น และไม่ไหลไปตามกิเลสต่างๆ
“ทุกครั้งเวลาที่ผมว่างจากการร้องเพลง ผมก็จะหาโอกาสไปทำบุญที่วัด และก็หาวันหยุดยาวๆ เพื่อใช้สำหรับการทำวิปัสสนาเจริญสมาธิ เพราะหลังจากที่ผมมีโอกาสได้ ไปนั่งสมาธิแล้วทำให้รู้สึกว่า แท้จริงแล้วชีวิต ของมนุษย์มีเพียงแค่ 2 ช่วงเวลาเท่านั้นคือ เวลาของการเป็นผู้ให้ และเวลาของการเป็นผู้รับ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกให้ตัวเองอยู่ใน ช่วงเวลาไหน”
แต่สำหรับร็อคเกอร์รุ่นเก๋าคนนี้ เขาเลือกที่จะให้ตัวเองอยู่ในช่วงเวลาของการเป็นผู้ให้ โดยเขาให้เหตุผลที่น่าฟังว่า
“การเป็น ‘ผู้รับ’ ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิต แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เป็น ‘ผู้ให้’ ก็จะถือว่าสิ่งนั้นมีค่าและเป็นกำไรของชีวิต เพราะสิ่งหนึ่งที่จะได้รับกลับอย่างที่ไม่มีวันใช้หมดคือ ความสุขทางใจที่ได้เป็นผู้ให้
การที่เราวิ่งวนตามกิเลสตัณหาต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าในแต่ละวัน ถ้าเราไม่รู้เท่าทันตัวเองก็จะตกเป็นทาสของมัน เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องทำตัวเองให้เบาที่สุดก่อนที่จะลาโลกนี้ไปด้วยการละลายกิเลสที่อยู่ในใจให้หมดไป ชีวิตของเราบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรไปยึดติดอยู่กับภาพหลอนต่างๆ แต่ควรเปลี่ยนมาเป็นผู้มอบสิ่งดีๆให้ กับชีวิตของคนอื่นบ้าง”
เพราะความต้องการที่จะละลายกิเลสที่มีอยู่ภายในใต้จิตสำนึกให้หมดไปในที่สุด ร็อกเกอร์เปี่ยมคุณค่าผู้นี้จึงได้น้อมนำกระแสพระราชดำริ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นองค์ต้นแบบในการทำความดีของเขา มายึดหลักในการดำเนินชีวิต และสร้างสรรค์สิ่งดีๆสู่สังคมที่เขาอาศัยอยู่ให้ได้รับความสุขเช่นกัน
หรั่งบอกว่าขณะนี้เขากำลังทำโครงการ ‘We Love The King We Love Thailand’ ซึ่งเป็นการนำเสนอในรูปแบบของรายการวิทยุ และศูนย์การสอนการแสดงดนตรี เพื่อปลุกกระแสแห่งความรักชาติ และร่วมส่งเสริมผู้ที่มีแนวคิดและประ-พฤติตนเป็นคนดีในทุกภาคส่วนของสังคม อีกทั้งยังยกย่องให้เกียรติผู้กระทำความดี เพื่อให้เป็นสังคมอุดมปัญญา ภายใต้ปรัชญาแห่งความพอเพียง อันนำไปสู่ความสงบร่มเย็นของบ้านเมืองต่อไป
ในโครงการนี้ นอกจากเขาจะทำตัวเป็น แบบอย่างในการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงแล้ว ยังขยายต่อความคิดนี้ให้กับชาวบ้านที่อยู่ในต่างจังหวัดให้เกิดความพอเพียง ด้วยการเข้าไปให้ความรู้กับชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างเพียงพอ สามารถอุ้มชูตัวเองและประเทศชาติได้ในอนาคต
และเนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ที่จะมาถึงนี้ หรั่ง ได้ฝากไว้ว่า
“ขอเชิญชวนให้ชาวไทยทุกคนร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนาด้วยการเข้าวัดไปร่วมทำบุญและฟังธรรม ซึ่งการทำบุญนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เงินทองมหาศาล แต่ควรใช้จิตใจที่สะอาดเข้าไปรับรสพระธรรม เพื่อเป็นแสงใจส่องทางให้ทุกคนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีสติ”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 92 ก.ค. 51 โดย ศศิวิมล แถวเพชร)