xs
xsm
sm
md
lg

เปิด..มุมมองการลงทุน ในสายตาผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ปัจจัยที่ทำให้ภูมิภาคเอเชียตอนนี้ไม่มีการเติบโต เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ และการถดถอยทางเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 3 ปี และหลังจากนั้นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแรงจะมีตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ดังนั้นภายใน 3 ปีนี้ เศรษฐกิจประเทศในภูมินี้กำลังจะฟื้นตัวที่ดี และในปี 2010 – 2020 ตลาดเอเชียจะมีการเติบโตสูงขึ้นมาก”

ปกติ บทความประจำหน้า 32 ทีมงานผู้จัดการกองทุนจะนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับการลงทุนในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้บริหารธุรกิจนั้นๆมาเป็นผู้ให้คำเสนอแนะ

ในฉบับนี้ ทีมงานได้มีโอกาสพบกับ มร.ดาร์ หว่อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Acute Precision & Studies Research Inc (APSRI) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนจาก สิงคโปร์ ที่บินมาให้ความรู้แก่นักลงทุนชาวไทยปีละครั้ง (สงวนค่านั่งฟังประมาณ 60,000 บาท/ราย) ซึ่งได้นำเสนอมุมมองของนักลงทุนต่างชาติต่อความสนใสลงทุนในประเทศไทย และนานาประเทศ รวมถึงโอกาสการเข้าไปลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงผ่านการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ดังนั้นเนื้อหาในฉบับนี้จะเป็นมุมมองบางส่วนของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะมาช่วยเฉลยและแนะนำการลงทุนสู่สายตาผู้อ่านชาวไทยกันบ้าง....
มร.ดาร์ หว่อง กล่าวว่าภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย และทั่วโลก เมื่อดูตลาดภาพรวมในหลายประเทศ ทั้งตลาดหุ้นในเอเชีย และตลาดหุ้นดาวโจนส์สหรัฐแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่ปั่นป่วนจากภาวะอัตราเงินเฟ้อมาก ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาดูสถานการณ์ต่างๆในตลาดไปก่อน เพราะประเมินว่าช่วงนี้ยังไม่ใช่จังหวะปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ เช่น น้ำมัน ทองคำ และการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกที่อยู่ในภาวะถดถอย

“ปกติเงินเฟ้อภูมิภาคนี้น่าจะอยู่ที่ 3% แต่ตลาดเอเชียตอนนี้ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% แล้ว ดังนั้นเรื่องปัญหาเงินเฟ้อจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ เพราะจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการอุปโภค บริโภคต่างๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้น”

สำหรับตลาดหุ้นไทย ต้องบอกว่าตอนนี้โครงสร้างตลาดหุ้นไทย นับเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีโครงสร้างที่ดีและมีความน่าสนใจ ซึ่งหลังจากนี้ 1 ปีราคาหุ้นจะอยู่ที่จุดต่ำสุดและจะปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนควรเข้าไปซื้อช่วงนั้นจะดีกว่า โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ และหลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แต่ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสจะลงทุน
ส่วนที่ผู้ที่มีเงินเย็นและต้องการถือระยะยาวมองว่าถ้าถือไว้ประมาณ 10 ปีจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สวย โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุนระยะยาวประเภทต่างๆ ขณะที่ส่วนที่เหลืออาจนำมาลงทุนต่อยอดธุรกิจต่างๆ หรือเอามาลงทุนทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆของตัวจะดีกว่า

“ถ้ารัฐบาลช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอีให้สามารถพัฒนาได้อย่างมีศักยภาพ และเมื่อกลุ่มเอสเอ็มอีเหล่านี้มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชน และประเทศเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง”

หุ้นไทยในสายตาต่างชาติ

“หุ้นที่น่าลงทุน จะเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีรัฐบาลเป็นผู้ซัพพอร์ต เพราะมีมูลค่าการซื้อขายเยอะมาก อาทิเช่นกลุ่มพลังานอย่าง PTT แม้การปรับตัวของราคายังไม่สูงขึ้นในทันที ก็เป็นเพราะนโนยบายของรัฐที่ยังไม่ชัดเจน แต่ถ้าเรื่องดังกล่าวถูกแก้ไขไปแล้ว เชื่อว่าจะช่วยพลักดันรายได้ ผลประกอบการ รวมถึงราคาหุ้นเหล่านี้เติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมาก”

การสร้างยิลด์ผ่านอสังหาริมทรัพย์

มร.ดาร์ หว่อง กล่าวถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ว่า เราต้องแบ่งการลงทุนออกเป็น2 ช่วงเวลา ได้แก่ การลงทุนระยะสั้น 2-3ปีข้างหน้า และการลงทุนระยะกลาง-ระยะยาว ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดยในระยะสั้น อสังหาริมทรัพย์ที่ฮ่องกง สิงคโปร์นั้นมีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ และขณะนี้ได้มีนักลงทุนหลายคนให้ความสนใจการเข้าไปลงทุนในอสังหาฯของจีนเช่นกัน แต่ว่ามูลค่าอสังหาฯของจีนตอนนี้มีราคาที่สูงเกินจริง อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้ว การเข้าลงทุนระยะยาวยังมองว่ามีโอกาสเติบโตที่ดี

ส่วนกลยุทธ์ การลงทุนผ่านพร็อพเพอร์ตี้ขอให้จำกลยุทธ์การลงทุนไว้ 3 หัวข้อ นั่นคือ ประการที่1. ต้องลงทุนขั้นต่ำด้วยระยะเวลา 5 ปี ประการที่ 2 ต้องใช้เงินเย็น ซึ่งเป็นเงินที่ไม่รีบร้อนในการเบิกถอน เพราะต้องใช้เพื่อการลงทุนในระยะยาวถึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่ดี และประการสุดท้าย พิจารณาว่า กองทุนไหนให้ความน่าเชื่อถือได้มากกว่ากัน

รูปแบบพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ โดยส่วนใหญ่น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้จะคำนึงถึงเสถียรรัฐของรัฐบาล และการเติบโตของธุรกิจ เพื่อมาใช้วิเคราะห์และพิจารณาลงทุน ดังนั้นตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบเสถียรภาพของเมืองไทยกับสิงคโปร์แล้ว แน่นอนเสถียรของไทยยังแย่อยู่เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ โดยเฉพาะในแง่ของการเมือง ทำให้กองทุนประเภทนี้มีอัตราการเติบโตไม่เท่ากับสิงคโปร์ เพราะเขามีรัฐบาลที่มั่นคงกว่า แต่ก็มีความมั่นคงหรือเติบโตต่อเนื่องอย่างทีละเล็กละน้อย
 
นอกจากนี้ สิงคโปร์กำลังมีโปรเจกต์ใหม่ๆ นั่นคือการจัดตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ ในรูปแบบคาสิโน ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ โดยมีคนให้ความสนใจเยอะมาก เพราะคาสิโนนี้จะเข้ามาช่วยเสริมการเติบโต และมีโอกาสเติบโตได้สูง อีกทั้งยังเป็นการช่วยขยายขนาดของกองทุน รวมถึงมูลค่าหน่วยลงทุนประเภทนี้ด้วย ดังนั้นจึงมองว่าตลาดในสิงคโปร์ยังสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนต่างประเทศได้มากกว่า แม้คนที่ซื้อหน่วยลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ใช่นักลงทุนในประเทศก็ตาม”


แนวทางการลงทุนต่างประเทศ

มร.ดาร์ หว่อง กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วนโยบายการส่งเสริมให้คนไทยไปลงทุนต่างประเทศของรัฐบาลไทยนั้น ยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก เพราะยังติดขัดในเรื่องของวงเงินลงทุน แต่เมื่อเปรียบค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ในทางเทคนิคแล้วค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขณะนี้ อยู่ในช่วงสะสมมาแล้วประมาณ 12 เดือน หรือเลยช่วงพีคมาแล้ว แต่ต้องมองต่อไปอีกสักระยะ

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนควรมองไปที่สกุลเงินต่างประเทศ อาทิสกุลปอนด์ สกุลยูโร สุกลเยน สกุลดอลลาร์สหรัฐ เพราะประเทศเหล่านี้มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ น่าลงทุน และเป็นค่าเงินที่มีความแข็งมาก

“ปัจจัยที่ทำให้ภูมิภาคเอเชีย ตอนนี้ไม่มีการเติบโต เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ และการถดถอยทางเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 3 ปี และหลังจากนั้นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแรง อย่าง ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ จะมีตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เติบโตได้เร็วมากๆ ดังนั้นภายใน 3 ปีนี้ เศรษฐกิจประเทศในภูมินี้กำลังจะฟื้นตัวที่ดี และในปี 2010 – 2020 ตลาดเอเชียจะมีการเติบโตสูงขึ้นมาก มีคนมากลงทุนมาก ซึ่งจะมาจากความมั่นคงด้านนโยบายการเงิน บริษัทขนาดกลางและย่อมมีการเติบโจที่ดี และประชาชนมีคุณภาพ ที่สำคัญรัฐบาลควรมีการควบคุมการเงินที่ดี อย่างเช่น แบงก์ชาติที่ควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อตั้งนานแล้ว”

ดังนั้นวิธีการนักลงทุนไทยที่ต้องการลงทุนต่างประเทศมีอยู่ 2 วิธี คือ 1.ไปที่ธนาคารที่มีบริการอัตราแลกเปลี่ยนในต่างประเทศ และก็ไปซื้อเงินปอนด์และยูโรเก็บไว้ สิ่งที่จะได้ คือได้ในส่วนต่างจากความแข็งค่าของสกุลเงินที่เพิ่มสูงขึ้น และยังจะได้ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เราฝากเงินไว้กับธนาคาร ส่วนวิธีที่ 2 นั่นคือการเข้าลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วยตนเอง


การลงทุนผ่านบอนด์เกาหลี –ออสซี่

มร.ดา หว่อง ให้ความเห็นว่า หากกลับไปดูผลตอบแทนย้อนหลัง 4-5 ปีที่ผ่านมา ประเทศเหล่านี้มีผลตอบแทนที่ต่ำไม่มีใครสนใจ แต่ตอนนี้ผลตอบแทนของบอนด์เหล่านี้ค่อนข้างสูง และมีความผันผวนในระดับหนึ่ง ซึ่งน่าลงทุนได้ แต่นักลงทุนที่หวังผลตอบแทนจากบอนด์เพียงอย่างเดียวนั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง นักลงทุนควรคำนึงถึงค่าอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อกลับมาเป็นสุกลเงินบาทด้วย เพราะแม้ผลตอบแทนการลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับจะสูง แต่ถ้าแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นสกุลเงินบาทและมีน้อยนิด เพราะต้นทุนสูงไป ก็ไม่น่าลงทุน อาทิช่วงที่ค่าเงินบาทไทยแข็งมากๆ ก็ไม่น่าลงทุน แต่ถ้าสนใจควรลงทุนผ่านบอนด์ ที่ใช้สกุลเงินปอนด์ และเงินยูโรจะดีกว่า

มร.ดา หว่อง กล่าวเสริมว่า อย่างที่รู้กันว่าปัญหาซัพไพรม์ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแย่ลง แต่เราต้องพิจารณาว่าผลกระทบนี้เกิดขึ้นกับใคร ให้พิจารณาในแง่ว่า ใครไปลงทุนในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์ในสหรัฐมากที่สุด แต่สำหรับประเทศในภูมิภาคนี้ อาทิ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซียมีการเข้าลงทุนในสหรัฐค่อนข้างน้อย ดังนั้นเมื่อปัญหาซัพไพรม์ก็กระทบประเทศแถบนี้ไม่มาก ดูจากตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงไม่มาก และที่ลดลงมาจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า ขณะที่ประเทศในทวีปยุโรป ธนาคารส่วนใหญ่เอาเงินไปลงทุนในสกุลดอลลาร์สหรัฐเยอะมาก ทำให้เมื่อสหรัฐเกิดวิกฤตย่อมมีผลกระทบกลับมาสูงเช่นกัน

“โดยธรรมชาตินักลงทุนจะย้ายเงินลงทุนไปประเทศที่ได้ผลตอบแทนได้ดีกว่า โดยจากปัญหาซัพไพรม์นักลงทุนส่วนใหญ่ย้ายไปยุโรป ช่วยทำให้สภาพคล่องในเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เติบโตเพิ่มขึ้นต่อไปอีก 2 –3 ปีข้างหน้า และผลกระทบจากซัพไพรม์ก็ไม่เยอะมากอย่างที่คาดกันไว้”

ขณะเดียวกัน การเติบโตภูมิภาคเอเชีย หลังจากนักลงทุนย้ายลงทุนในยุโรปมากขึ้น ซึ่งหมายถึงเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้ แน่นอนเป้าหมายต่อไปนักลงทุนเหล่านี้ก็จะมองหาประเทศใหม่ๆที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีอยู่ในระดับหนึ่ง อาทิประเทศในเอเชียรวมถึงไทย เพราะมองว่ามีการเติบโต อีกทั้งมูลค่าราคายังต่ำ

ทิศทางของนักลงทุนสิงคโปร์

“ตอนนี้นักลงทุนสิงคโปร์ให้ความสนใจในตลาดต่างประเทศ เพราะเศรษฐกิจมีการเติบโตสูง เพราะมีการคาดการณ์ว่าอีกประมาณ 6 –9 เดือนนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีแข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินยูโร โดยจากปัจจุบัน 1.6 เหรียต่อ 1ยูโร จะเปลี่ยนไปเป็น 1.4 เหรียญ/ 1 ยูโร และนั่นเป็นจังหวะสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ”

ส่วนประเทศที่นักลงทุนสิงคโปร์ให้ความสนใจและเข้าไปลงทุนมากที่สุดได้แก่กลุ่มประเทศในโซนยุโรป กลุ่มประเทศอียู ไต้หวัน ฮ่องกง และประเทศกลุ่มบริค (บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) แต่ต้องดูภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และสถานการณ์การเมืองในประเทศนั้นๆด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น