นับเป็นอีกเรื่องที่สร้างความคึกคักไม่น้อยให้แก่วงการสีกากีตั้งแต่ต้นสัปดาห์ กับการเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพสีกากีอย่างเป็นทางการของ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.พร้อมการเริ่มภารกิจในฐานะผู้นำหน่วย โดยภารกิจแรกที่สำคัญคือ การแบ่งงานให้รองผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.รับผิดชอบ ซึ่งงานนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่เมีย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับงานถนัดนั่งตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ปป.1 ขณะเพื่อนร่วมรุ่นรวมถึงนายตำรวจที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ล้วนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบภาระกิจ และดูแลหน่วยงานที่สำคัญ จึงเป็นที่โจษขานกันว่ารัฐตำรวจกำลังหวนกลับมา
ตั้งแต่วันแรกของการทำหน้าที่อย่างเป็นทางการในฐานะ ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็เกิดข้อกังขาในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งถือเป็นบันไดขั้นแรกของกระบวนการยุติธรรม จากกรณีที่ตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ฐานขัดหมายเรียกไม่มารายงานตัวกับพนักงานสอบสวน คดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกรณีนี้คนที่ถูกออกหมายจับเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อดีตผู้พิพากษา ขณะเดียวกันที่ผ่านมานายสุนัยไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน มิหนำซ้ำคดีนี้ก็มีอัตราโทษไม่มาก ซึ่งหากเทียบกับคดี”เจ๊เพ็ญ”นายจักรภพ เพ็ญแข หมิ่นเบื้องสูง จนถึงวันนี้เจ้าตัวยังคงไม่ได้มาเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ ทำไมตำรวจถึงมี 2 มาตรฐาน หรือยอมตกเป็นเครื่องมือของขบวนการเอาใจนายใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี
อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงก็คือกรณีที่มีการตั้งด่านสกัดประชาชนที่จะมาเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ตามจังหวัดต่างๆ โดยแว่วว่ามีใบสั่งจากรองผบ.ตร.คนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการเห็นการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร จึงสั่งไปยังจังหวัดปริมณฑลให้สกัดประชาชนที่รวมตัวเดินทางมาสมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่นับรวมกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ตำรวจปล่อยให้ม็อบป่วนไล่ทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนที่จะออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่าตำรวจไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท จะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ ในฐานะผู้นำหน่วยจะต้องรับผิดชอบ เพราะกรณีที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ขาดความชอบธรรมของตำรวจ เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดครั้งแรก แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ ซึ่งคงไม่มีประชาชนคนไหนที่รักความเป็นธรรมอยากให้เกิดขึ้น ยกเว้นคนในระบอบทักษิณนั่นเอง
ย้อนกลับมาที่กรณีการก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในรั้วปทุมวันของ พล.ต.อ.พัชรวาท นั้นอาจเรียกได้ว่าเร็วกว่าที่คิด ชนิดที่เจ้าตัวเองก็ไม่คาดฝัน หลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผบ.ตร.ถูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี สกัดดาวรุ่ง สั่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง และให้ออกจากราชการ ทำให้หวยมาออกที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เพราะหากรอจน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เกษียณในเดือน ต.ค.นี้ก็ต้องลุ้นกันตัวโก่ง เนื่องจากแม้จะเป็นรอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับหนึ่ง แต่หาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อยู่จนครบเทอม โผอาจจะพลิกได้ตลอดเวลา เพราะหากพิจารณาจากชื่อเสียงและผลงานที่ผ่านมาของ พล.ต.อ.พัชรวาท อาจเข้าทำนองที่ว่าความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ซึ่งเจ้าตัวก็ทราบดีซึ่งการเข้ามารับส้มหล่นครั้งนี้ คงไม่บอกก็รู้ว่าจะต้องมีเงื่อนไขบางประการที่เราไม่อาจรู้ได้ ที่ พล.ต.อ.พัชวาท ต้องจำยอม หรือยอมโดยเต็มใจ ในการทำภารกิจบางประการเพื่อรับใช้ระบอบทักษิณ
เป็นที่ทราบกันว่า แต่ไหนแต่ไร พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่มีพฤติกรรมอิงแอบแนบชิดกับฝ่ายการเมือง พยายามเก็บเนื้อเก็บตัวมาโดยตลอด แต่การก้าวกึ้นมาเป็น ผบ.ตร.ในครั้งนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็ก้าวถลำเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของฝ่ายการเมือง โดยเจ้าตัวเองก็ทราบดี และก็ยอมที่จะให้เป็นเช่นนั้น ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อแลกกับการก้าวเป็นเบอร์หนึ่งของรั้วปทุมวันนั่นเอง แม้ว่าจะเป็นเพียงเบอร์หนึ่งขัดตาทัพ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งจะเกษียณในปี 2552 นั้นได้ถูกวางตัวให้เป็นผบ.ตร.คั่นเวลา เพื่อรอ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขณะที่อีกนัยยะหนึ่ง มองกันว่า ระยะเวลา 1 ปีกว่าหลังจากนี้ นอกจากจะเป็นผู้นำคั่นเวลาแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท จะสนองคุณระบอบทักษิณ โดยทำหน้าที่ปัดกวาดบ้านให้สะอาดเอี่ยมอ่องเพื่อให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งอย่างสง่าผ่าเผย ราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรค
เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ใดๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ หากมีตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง พล.ต.อ.พัชรวาท คงยากที่จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเหตุผลที่ว่ามายืดยาวข้างต้น จึงเป็นหน้าที่ของพล.ต.อ.พัชรวาท เองที่จะต้องทบทวนว่าตนเองควรจะรักษาบทบาทหน้าที่อย่างไร ที่จะเหมาะสม เป็นธรรม เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงไม่ใช่เพียงหลับหูหลับตารับใช้รัฐบาลลูกกรอก โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง
จะอย่างไรก็แล้วแต่ อยากฝากถึง พล.ต.อ.พัชรวาท ว่า นักการเมืองนั้นมาไวไปไว ขณะที่อำนาจการเมืองเองก็ไม่จีรังยั่งยืน แต่ข้าราชการนั้นจะต้องอยู่ตรงนี้ต่อไป ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ เป็นธรรมให้สมกับเป็นตำรวจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต่างหาก ที่จะเป็นเกราะกำบังให้แคล้วคลาด จึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด ขณะเดียวกันเชื่อว่าหากตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่เคียงข้างประชาชน เชื่อเถอะว่าประชาชนจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป