xs
xsm
sm
md
lg

ปริญญาไร้ค่าและเสียงร้องของโค

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

น่าเสียดายที่ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ซึ่งร่วมชุมนุมบนท้องถนนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไม่เดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัยมาแจกริบบิ้นขาวในวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดสัมมนา ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วม็อบถ่อยออกมาโชว์จู๋ที่หน้ามหาวิทยาลัย

น่าเสียดายที่พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวในวันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ใช้สิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญอย่างสงบ อหิงสา แต่ไม่ออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ม็อบ นปก.ก่อการจลาจลบนท้องถนน

หากมองกันแบบผิวเผินหลายคนฟังเจตนาของเครือข่ายประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง ที่นำโดย โคทม อารียา และปริญญาว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ให้สัมภาษณ์แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า เจตนาของกลุ่มริบบิ้นสีขาวก็คือ การทำลายความชอบธรรมการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ แบบแยบยล

เหมือนที่ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ กล่าวว่า เติมสีขาวเพื่อให้การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ พร่ามัว และเติมสีขาวเพื่อให้พฤติกรรมที่ชั่วช้าสีดำของรัฐบาลเจือจางลง

และหากพิจารณาการเคลื่อนไหวของโคทม และปริญญาก็จะเห็นว่า ทั้งสองคนมีทัศนะเชิงลบต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ มาโดยตลอด แม้ว่าสังคมจะมีทัศนะที่แตกต่างกันได้ และแม้ว่าหลายคนเชื่อว่า ทั้งสองคนไม่ใช่กลุ่มคนที่สนับสนุนระบอบทักษิณ แต่ก็ยังมีบางคนจะยังเคลือบแคลงต่อท่าทีของคนทั้งสองอยู่

ความเคลือบแคลงและไม่เคลือบแคลงก็เป็นส่วนหนึ่งของทัศนะที่แตกต่าง เช่นเดียวกัน พูดแบบภาษาชาวบ้านที่ไม่ใช่นักวิชาการโก้หรู ก็คือว่า หลายคนมองว่าทั้งสองคนมักให้สัมภาษณ์ “ตัดขา” การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ อยู่เนืองๆ ชอบทำตัวอยู่ “เหนือ” เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์และทิศทางที่ควรจะเป็นของสังคม

ปริญญา บอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการเห็นความรุนแรงเกิดขึ้น จึงขอเชิญชวนทุกคนที่ไม่ต้องการเห็นความรุนแรง ร่วมกันแสดงพลังโดยใช้สีขาวเป็นสัญลักษณ์ เช่น ผูกริบบิ้นสีขาว ใส่เสื้อผ้าสีขาว ซึ่งเป็นสีแห่งสันติภาพ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชน ที่ไม่ได้ต้องการหยุดการเคลื่อนไหวของฝ่ายใด แต่อยากขอให้เข้าใจระบบพื้นฐานของประชาธิปไตยที่สามารถเห็นแตกต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง โดยร่วมกันรณรงค์ประกาศตนว่า ไม่ต้องการเห็นการนองเลือดติดสัญลักษณ์สีขาว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

พัชนีย์ ธระเสนา อาจารย์ประจำวิทยาลัยศิลปะสื่อและเทคโนโลยี ที่อ้างว่า เป็นแกนนำกลุ่มริบบิ้นสีขาวที่เชียงใหม่ บอกว่า ทางออกของทุกฝ่ายขณะนี้ ให้ลืมเรื่องทิฐิ การเอาชนะกันแล้วหันมามาเจรจาเพื่อหาทางออกแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี ก่อนที่ปัญหานี้จะลุกลามใหญ่โตเพราะแต่ละฝ่ายต่างพยายามที่จะเรียกพลังมวลชนให้เข้ามารวมตัวให้ได้มากที่สุด เมื่อต่างฝ่ายต่างเครียดและเริ่มอ่อนเพลียความอดทนเริ่มที่จะหมด อาจจะเกิดปัญหารุนแรงตามมาได้ หากหันหน้าเข้ามาเจรจาปัญหากันก็น่าจะมีทางออกที่ดีได้

เห็นได้ว่า ทัศนะของปริญญา และพัชนีย์ไม่ได้ต่างไปจากแนวคิดสมานฉันท์ หันหน้าเข้าหากัน แล้วถอยหลังคนละก้าว ที่สะท้อนผ่านจากกลุ่มคนบางคน สื่อบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ พวกเขาใช้วาทกรรมที่ “เนียน” และดูเหมือนว่าวางตัวเป็นกลาง เป็นกูรู เป็นปราชญ์ที่คอยยับยั้งเตือนสติสังคม และมีการใช้เน็ตเวิร์คของสื่อรัฐขยายความคิดนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง

ทัศนะของพวกเขาคล้ายกับว่า ไม่ได้มองปัญหาที่ความผิดชอบชั่วดี แต่มองว่า ทุกคนทุกฝ่ายคือ คนที่กำลังสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง คนเหล่านี้คล้ายกับว่า ถ้าโจรเข้าบ้านเขา เขาคงไม่แจ้งความ หรือร้องให้ช่วยกันจับโจร แต่จะบอกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายให้โจรกับเจ้าของบ้านถอยหลังคนละก้าวแล้วเลิกราต่อกัน

พวกเขาไม่ได้พูดถึงการใช้สิทธิการชุมนุมของพันธมิตรฯ ว่า ผิดหรือถูก ไม่ได้พูดว่า ฝ่ายที่ต่อต้านแล้วจัดคนไปก่อกวนทำร้ายผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ ผิดหรือถูก แต่หยิบยกขึ้นมาพูดแบบรวมๆ ให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาของสังคม

แต่หากย้อนกลับไปอ่านแถลงการณ์ของพันธมิตรฯ ตั้งแต่ฉบับแรกที่กลับมาเคลื่อนไหวรอบที่สอง ก็สามารถพิจารณาได้ว่า มีเหตุผลเพียงพอต่อการเคลื่อนไหวหรือไม่ และพฤติกรรมของรัฐบาลในความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัดตอนความผิดของทักษิณและพรรคก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

และแม้ว่าจะมีการถอนชื่อจนญัตติการแก้รัฐธรรมนูญตกไปแล้ว แต่ก็เห็นอย่างชัดเจนไม่ใช่หรือว่า พรรคพลังประชาชนประกาศเดินหน้าผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป

ไม่เห็นหรือว่า รัฐบาลไม่ได้เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน นอกจากสะสางปัญหาและกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างโจ่งแจ้งและเปิดเผย มีการข่มขู่ให้ข้าราชการสวามิภักดิ์ ยอมเป็นเครื่องมือ และโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งยังมีความพยายามในการเอาอธิปไตยของชาติไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของตัวเอง ฯลฯ

น่าตลกก็คือ นักวิชาการเหล่านี้กลับมองไม่เห็นปัจจัยที่ชั่วช้าและฉ้อฉลของรัฐบาลหุ่นเชิด แต่ที่น่าตลกกว่าก็คือ ว่า ภายหลังแถลงข่าวเปิดตัวไปเพียงวันเดียว สมาชิกของริบบิ้นขาว ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ประชาชนขานรับสีขาวมากขึ้น เพราะมีคนใส่เสื้อขาวเพิ่มมากขึ้น

บังเอิญวันที่อ่านข่าวนี้ผมก็ใส่เสื้อสีขาวด้วย ดังนั้นจึงเข้าใจว่า พวกเขา คงเหมานักเรียน นักศึกษา พยาบาลทั่วประเทศ และพวก white collar ว่า เป็นพวกริบบิ้นขาวไปด้วย

แต่ไม่ว่า ส่วนลึกของเขาจะมีคำอธิบายต่อเจตนาในการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างไรก็ตาม สังคมเมื่อได้รับฟังแล้วก็เห็นว่า พันธมิตรฯ คือ ส่วนหนึ่งของปัญหา พันธมิตรฯ คือ ส่วนหนึ่งของความรุนแรงราวกับว่า พวกเขาไม่เข้าใจสิทธิของประชาชน และไม่เข้าใจว่า ประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม

ไม่ต่างกับนักวิชาการบางคนที่กล่าวหาว่า การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชน เพราะไม่มีกลุ่มเอ็นจีโอเข้าร่วม คล้ายกับว่าจะเขียนตำรารัฐศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ว่า การเมืองภาคประชาชน คือ การผูกขาดของเอ็นจีโอ คล้ายกับว่า การเรียนหนังสือสูงยิ่งทำให้คนโง่ลง

คนเหล่านี้คล้ายกับบางคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และเหน็บแนมพันธมิตรฯ ก่อนออกมาเคลื่อนไหวรอบที่สองว่า ไร้พลังแล้วบ้าง คนชั้นกลางไม่เอาด้วยบ้าง ปลุกไม่ขึ้นบ้าง แต่พอประชาชนตื่นตัวเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ มากขึ้น พวกเขาก็พูดใหม่ว่า สมานฉันท์ เลิกเอาชนะคะคานกัน

แม้สังคมจะต้องเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ความคิดเห็นต่างที่มีนัยซ่อนเร้นเช่นนี้ก็ไม่ควรที่สังคมจะให้ราคาแต่อย่างใด.
กำลังโหลดความคิดเห็น