xs
xsm
sm
md
lg

ปีใหม่ ให้ความรัก ความเมตตาต่อกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องวันเวลาเดือนปีเป็นเรื่องสมมติ เราเอาไปใส่เข้ากับการโคจร ของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ว่าเป็นวินาที เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี แล้วก็เอาชื่อใส่เข้าไปในวันเดือนปีนั้น เช่น อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ เพื่อให้สะดวกแก่การนับ เดือนก็เอาชื่อไปใส่เข้าไป เช่นเดือนมกรา กุมภา มีนาเรื่อยไป ครบสิบสองเดือนก็ถือว่าเป็นหนึ่งปี ทีนี้ปีนี้ก็ต้องมีชื่อเหมือนกัน ถ้าไม่มีชื่อปีมันก็ลำบาก ไม่รู้ว่าปีไหนๆ เลยสมมติชื่อเป็นชวด ฉลู ขาล เถาะ เรื่อยไปจนครบสิบสองเดือน วันก็มีเจ็ด แล้วก็หมดไปโดยลำดับ

ความจริงเวลาที่แท้นั้นมันวินาทีเดียว วินาทีเดียวนั่นแหละสำคัญที่สุด มันผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วก็เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือน เป็นปีเรื่อยไปโดยลำดับ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไป จนกระทั่งสิ้นเวลาไป พอครบสิบสองเดือนก็ถือว่าเป็นปีหนึ่ง ชีวิตของเราแต่ละคนที่ผ่านมาได้รอบปีหนึ่ง ก็สบายใจ...

ความจริงปีเก่ากับปีใหม่ก็เหมือนๆกัน ไม่ค่อยมีอะไรแปลกกันเท่าใด อะไรที่เคยเป็นเคยอยู่ในปีเก่า มันก็เป็นอยู่กันต่อไป เช่นโรคภัยไข้เจ็บมันก็มีอยู่อย่างนั้น ใครมีโรคเมื่อปีเก่าปีใหม่มันก็ยังมีอยู่  ไม่ใช่ว่าสิ้นปีเก่าแล้วโรคมันจะหายไปกับปีเก่าหามิได้ หนี้สินเงินทอง อะไรต่างๆ ของปีเก่ามันก็ยังอยู่ ความทุกข์ในทางใจของปีเก่าก็ยังยกยอดมาในปีใหม่ต่อไป เรียกว่ายกยอดบัญชีความทุกข์มาใส่เข้ามาใน ปีใหม่ต่อไปอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เพราะว่าชีวิตมันก็ต้องมีอย่างนั้น มีได้มีเสียมีสุขมีทุกข์ มีสบายใจมีไม่สบาย ใจ ในทางธรรมะท่านเรียกว่า โลกธรรม แปลว่าธรรมสำหรับชาวโลก ท่านแบ่งไว้เป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ชอบใจอย่างหนึ่ง ฝ่ายที่ไม่ชอบใจ อย่างหนึ่ง...

ความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราจะอาศัยอะไรก็ตาม อาศัยวัตถุ ความสุขที่ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับคำสรรเสริญ เราย่อมมีความสุขใจ อันนี้เป็นเรื่องฝ่ายดี ฝ่ายพอใจ ถ้าเกิดไม่ได้ จะมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีความสุขเสมอไปก็ไม่ได้ สิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้สำคัญมากไม่มีอะไรคงที่ถาวร อะไรๆทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้มันเปลี่ยนอยู่ทั้งนั้นเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มีลาภแล้วก็อาจเปลี่ยนเป็นไม่มีลาภ เสื่อมลาภ ไปได้ มียศแล้วเสื่อมยศไปก็ได้ มีสรรเสริญก็มีนินทา คนไหนชอบใจ เขาก็สรรเสริญ บางทีต่อหน้าเขาก็ชมพอลับหลังเขาก็ด่าเอาเสียด้วยซ้ำ ไป บางทีเราก็มีความทุกข์เข้ามาแทรกแซงในวิถีชีวิตของเรา มันเป็นเรื่องธรรมดา เราจะต้องรู้กฎธรรมดานี่ไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้ไข ในเรื่องอะไรๆต่างๆที่เกิดขึ้น เช่นเราเสื่อมจากลาภไป ก็ไม่เสียใจเกินไป เสื่อมยศก็ไม่เสียใจ ได้รับการนินทาว่าร้าย เราก็ไม่เสียอกเสียใจ มีอะไรที่เป็นความทุกข์เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราก็ไม่เสียใจในเรื่องนั้นมากเกินไป ให้นึกแต่เพียงว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่จะเกิดมีขึ้นแก่เรา แล้วมันก็ไม่ได้อยู่นาน...

เราก็มาคิดอย่างนี้ ทบทวนดูเรื่องทั้งหลาย ว่าเราประสบทั้งได้ทั้งเสียทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งความเสื่อมความเจริญ ทั้งน้ำตาทั้งเสียงหัวเราะ มันสลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา ในขวบปีใหม่ที่จะมาถึงมันก็รูปเดียวกัน อะไรๆ มันก็เป็นในรูปเดียวกัน แต่เราไม่ควร จะให้มันซ้ำกันอยู่ในรูปอย่างนั้น

เรื่องที่ควรไม่ให้ซ้ำในชีวิตนั้นเรื่องอะไร คือ เรื่องความทุกข์อย่าให้ซ้ำ อย่าให้มันทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ตลอดเวลา เรื่องความทุกข์เป็น เรื่องแก้ได้ ไม่ใช่เรื่องแก้ไม่ได้ ในรอบปีใหม่นี่เราควรจะคิดว่าเราจะอยู่อย่างไร จึงจะมีความสุขใจมีความสงบใจ ไม่มีความวุ่นวายไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในใจเราด้วยประการต่างๆ การอยู่ที่จะไม่ให้เป็นทุกข์ นั้นต้องอยู่อย่างผู้ประพฤติธรรม ธรรมะอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาชีวิต ทำให้เรามีความก้าวหน้า มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย ตามสมควรแก่ฐานะ จึงต้องอาศัยการประพฤติธรรม การประพฤติธรรมนี่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของเราแต่ละคน ในบทเรียนที่ผ่านมาเมื่อปีก่อนนี้ เราก็พอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ทีนี้เราก็ต้องหลีกเลี่ยง จากสิ่งเหล่านั้น ไม่สร้างบทเรียนซ้ำลงไปในแบบเก่าที่เราเคยกระทำมาแล้ว แต่เราจะต้องสร้างบทเรียนใหม่ สร้างชีวิตใหม่ อย่าให้ประวัตศาสตร์มันซ้ำรอยเดิมในเรื่องความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน

ทีนี้ความทุกข์ความเดือดร้อนที่มันเกิด เกิดเพราะอะไร เราจะต้องศึกษาให้รู้ก่อนว่าทุกข์นี่มันเกิด ที่ไหน ก็ตอบตามหลักธรรมะได้ว่า เกิดที่ความคิดของเรานั่นเอง เกิดในใจของเรา ความสุขก็ไม่ได้มา จากไหน แต่เกิดขึ้นที่ใจของเรา ความสงบก็ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจของเราอะไรที่มีอยู่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดขึ้นในใจของเราทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากที่อื่นใด แล้วอีกประการหนึ่งอะไรๆที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของ เรานั้น เราอย่านึกว่าอะไรจะมาช่วยดลบันดาลให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความเชื่อนี้มันไม่ถูกต้อง

...ตัวเราเองนั่นแหละจะดลบันดาลให้อะไรแก่เราได้ อันนี้หลักพระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น คือสอนว่าอะไรๆ จะเกิดขึ้นก็ด้วยการกระทำของเราเอง เราต้องการอะไรเราก็ต้องทำให้มันเกิดขึ้นด้วย ความคิด ด้วยการพูด ด้วยการกระทำเพื่อให้เกิดสิ่งนั้น

สิ่งชั่วนี้ใครต้องการบ้าง ความทุกข์นี่ใครต้องการบ้าง แล้วใครเคยอธิษฐานให้ได้ความทุกข์บ้าง ไม่มีเลย ทั้งๆ ที่ไม่อธิษฐานความทุกข์มันก็เกิด เพราะว่าถ้าเราไปทำให้เหตุมันเกิดความทุกข์ ไปหาเรื่องให้ ทุกข์ไปหาเรื่องให้กลุ้มใจ เราก็มีความทุกข์ มีความกลุ้มใจ มีความเดือดร้อนใจไปด้วยประการต่างๆ มันอยู่ที่เราทำ แม้สิ่งนั้นเราไม่ต้องการ แต่ถ้าเราทำเหตุ ผลมันก็ต้องเกิดขึ้น เพราะเหตุกับผลนั้นมีความสัมพันธ์กัน เหตุให้เกิดสุขเราได้สุข เหตุให้เกิดทุกข์เราได้ทุกข์ เหตุให้ยากจนเราก็ยากจน เหตุให้มั่งมีเราก็ได้รับความมั่งมี เหตุให้เขาเกลียดเราก็ได้รับความเกลียดชังจากคนอื่น มันอยู่ที่เหตุทั้งนั้น อยู่ที่การกระทำของเราเอง ...อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้ถือเป็นหลักไว้ในใจว่า ชีวิตของเรานี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรอื่น ...

... จึงควรจะอยู่กันด้วยน้ำใจ เมตตาต่อกัน ให้นึกไว้ในใจเสมอว่า สัตว์ทั้งหลายอันเป็นเพื่อนร่วม ทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น...ช่วยกันให้ทุกข์มันน้อยลงไปหน่อย ลดทุกข์ให้แก่คนทุกคนเท่าที่เราจะช่วยได้ โอกาสอำนวยให้แผ่เมตตากับใคร ให้ได้บำเพ็ญคุณธรรมข้อนี้เมื่อใดเราก็ช่วยเขาเท่า ที่เราจะทำได้ เราช่วยเขามันก็สะท้อนกลับมาหาเราเอง มันช่วยกันไปในตัวอยู่แล้ว คนไม่เคยช่วยใคร ย่อมไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใคร คนไม่เคยให้ไม่มีหวังว่าจะได้หรอก แต่ถ้าให้ไว้บ่อยๆ มันก็ได้เอง

เพราะฉะนั้นให้ความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แม้ต่อสัตว์เดรัจฉาน ให้อยู่ด้วยอารมณ์อย่างนั้นในปีใหม่ เรียกว่าอยู่ด้วยความเมตตาปราณีต่อกัน อยู่ด้วยการช่วยเหลือกัน มีอะไรพอที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้เราก็เข้าไปช่วยเหลือ เท่าที่เรามีทุนมีเรี่ยวแรงมีสติปัญญา มีความสามารถอันใด พอจะช่วยเหลือเพื่อนด้วยวิธีใด เราก็ช่วยกันเท่าที่จะอำนวยให้ได้ ความสุขความสงบในสังคมก็จะเกิดขึ้นสมความปรารถนา เพราะเราจะให้ใครมาช่วยทำให้เราเป็นสุขไม่ได้ เราทุกคนต้องช่วยกันจัดช่วยกันทำด้วยตัวของเราเอง ความสุขความสงบก็จะเกิดขึ้นได้สมตามความปรารถนา

(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรมวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑)

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 86 ม.ค. 51 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)
กำลังโหลดความคิดเห็น