ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์
ในมิติของรัฐศาสตร์และการบริหารรัฐกิจ การเมืองมิใช่เพียงเรื่องของอำนาจและการจัดสรรทรัพยากรเท่านั้น หากแต่เป็น "ศาสตร์และศิลป์" ที่ต้องอาศัยการบ่มเพาะประสบการณ์อย่างเป็นลำดับขั้นตอน ทว่าในบริบทของการเมืองไทยปัจจุบัน เรากลับพบปรากฏการณ์ที่สนามการเมืองกลายเป็นพื้นที่แห่งการ "ทดลอง" ของผู้เล่นหน้าใหม่ที่ปราศจากฐานรากทางประสบการณ์ที่หนักแน่น เมื่อนำเอาปรัชญาการเรียนรู้แบบ 守破離 (Shuhari) ของญี่ปุ่นมาจับทิศทาง จะพบร่องรอยของปัญหาที่น่ากังวลเกี่ยวกับการยกระดับคุณภาพของระบอบประชาธิปไตยไทยอย่างมีนัยสำคัญ
๑. 守 (Shu - รักษา) : พื้นฐานที่ขาดหายและวิถีทางที่ถูกข้ามขั้นตอน
ขั้น "ชุ" (Shu) หรือการรักษาไว้ซึ่งระเบียบแบบแผน คือหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ตามวิถีทางที่ถูกต้อง เปรียบเสพถึงการที่นักการเมืองต้องเริ่มต้นจากการเป็น "ผู้เรียนรู้" (Apprentice) ในระบบสถาบันการเมือง เรียนรู้กลไกทางนิติบัญญัติ กระบวนการงบประมาณ และศิลปะการเจรจาต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของมหาชน
อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยมักเผชิญกับสภาวะ "ทางลัดสู่เก้าอี้อำนาจ" ผู้สมัครจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในฐานะทายาทของ "บ้านใหญ่" หรือตัวแทนกลุ่มทุน (Proxy) ซึ่งอาศัยเพียง "ต้นทุนทางสังคม" หรือ "กระแสความนิยมชั่วคราว" โดยปราศจากการเคี่ยวกรำในขั้นตอนการเรียนรู้รากฐาน (Standard of Practice) เมื่อผู้ปกครองข้ามขั้นตอนการเป็นผู้ตามที่เรียนรู้งานอย่างถ่องแท้ การบริหารราชการแผ่นดินจึงกลายเป็นเพียงการ "ลองผิดลองถูก" บนงบประมาณและชีวิตของประชาชน
๒. 破 (Ha - ทำลาย) : การต่อยอดที่บิดเบี้ยวบนฐานที่สั่นคลอน
ในปรัชญา "ฮะ" (Ha) คือการนำความรู้มาตรฐานมาประยุกต์และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่การจะ "ทำลายกฎเพื่อสร้างกฎใหม่" ได้นั้น ผู้นั้นต้องเข้าใจกฎเดิมอย่างถ่องแท้เสียก่อน ดังเช่นที่ มิยะโมะโตะ มูซาชิ เรียนรู้เพลงดาบเล่มเดียวจนแตกฉาน ก่อนจะริเริ่มการใช้ดาบคู่
ปัญหาของการเมืองไทยคือการพยายาม "Disrupt" หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยที่ผู้เล่นยังไม่เข้าใจกลไกเดิมอย่างลึกซึ้ง การนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ที่ขาดความเข้าใจในบริบทเชิงประวัติศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์มักนำไปสู่ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง หรือการเสนอนโยบายที่สวยหรูแต่ในทางปฏิบัติกลับเผชิญกับตอทางราชการ (Bureaucratic Red Tape) เนื่องจากนักการเมืองเหล่านั้นไม่ได้ผ่านขั้นตอนการเรียนรู้ที่จะ "ประสาน" และ "ปรับปรุง" จากภายในระบบ
๓. 離 (Ri - แตกฉาน) : ความเป็นมืออาชีพที่เลือนหาย
ขั้นตอนสุดท้ายคือ "ริ" (Ri) อันหมายถึงการก้าวข้ามทุกกฎเกณฑ์สู่การเป็น "ปรมาจารย์" ผู้ซึ่งสามารถรังสรรค์วิถีการเมืองที่มีเอกลักษณ์และยั่งยืน นักการเมืองที่เข้าสู่ระดับนี้จะสามารถมองเห็นภาพกว้างของประเทศ (Visionary Leadership) และตัดสินใจบนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ระยะยาวมากกว่าเพียงแค่การรักษาฐานอำนาจ
เมื่อมองกลับมาที่สภาวะปัจจุบัน เรากลับพบนักการเมืองที่เป็น "นักยุทธศาสตร์" (Statesman) น้อยลง แต่กลับมี "นักการตลาดการเมือง" มากขึ้น ปมปัญหานี้ทำให้การเมืองไทยวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของการหาเสียงเพื่อชัยชนะในระยะสั้น แทนที่จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสังคม การขาดแคลนผู้ที่ผ่านกระบวนการ 守破離 อย่างครบถ้วน จึงทำให้กรอบแนวคิดทางการเมืองไทยติดหล่มอยู่ในสภาวะ "กึ่งดิบกึ่งดี" ที่มีแต่นักแสดงหน้าใหม่ แต่ขาดครูฝึกที่เป็นมืออาชีพ
การที่สนามการเมืองไทยกลายเป็นสนามฝึกหัดของ "มือสมัครเล่นที่มีต้นทุนสูง" ส่งผลให้ความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยทวีความรุนแรงขึ้น หากเรายังยอมให้ระบบการเข้าสู่อำนาจถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยเรื่อง "สายเลือด" หรือ "ทุน" มากกว่า "ทักษะและการบ่มเพาะ" ประเทศไทยก็จะยังคงเป็นห้องทดลองที่ไม่มีวันสิ้นสุด
การยกระดับการเมืองไทยจึงจำเป็นต้องสร้าง "สถาบันการเมือง" ที่ทำหน้าที่เป็นโรงเรียนฝึกหัดตามวิถี 守破離 เพื่อให้นักการเมืองรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ (Shu) พัฒนา (Ha) และสร้างนวัตกรรมแห่งรัฐ (Ri) อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้การเมืองไทยก้าวพ้นจากการเป็นเพียงสนามเด็กเล่นของกลุ่มอภิสิทธิ์ชน สู่การเป็นเวทีของผู้ทรงเกียรติที่ทำงานเพื่อมหาชนอย่างแท้จริง


