“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” คาดเศรษฐกิจไทยปี 69 GDP โตต่ำร้อยละ 1-2 เปรียบ “ม้าอ่อนแรงในสนามมีแต่สิ่งกีดขวาง” ชี้ ไทยเจอเงินเฟ้อติดลบ-เสี่ยงเงินฝืดแน่ แนะ รัฐ เอกชน ปชช.เตรียมรับมือให้ดี
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD)และ นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ว่า ไม่ใช่เป็นการคาดเดาตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่เป็นการมองภาพอนาคตของประเทศในมิติกว้าง เพื่อเตรียมความพร้อมและกำหนดทิศทางที่เหมาะสมสำหรับอนาคต โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำมากเนื่องจาก ปี 2569 เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญโจทย์สำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะมีทั้งความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาวะการค้าโลกที่ยังไม่ฟื้นและการเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดการณ์ว่าไทยอาจเติบโตเพียงร้อยละ 1-2 ของ GDP ซึ่งนับว่าเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดในอาเซียน โดยเหตุผลที่ประเทศไทยชะลอตัวเกิดมาจากข้อจำกัดเรื่อง “ศักยภาพการเติบโต” เป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจอาจกำลังเข้าสู่จุดที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
โดยภาวะเงินเฟ้อติดลบและความเสี่ยงเงินฝืด เป็นสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2569 คือแนวโน้มเงินเฟ้อติดลบที่ยืดเยื้อต่อเนื่องกว่า 6 เดือน และอาจลากยาวไปจนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า โดยการคาดการณ์ล่าสุด ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจอยู่ราวร้อยละ -0.2 ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานอยู่เพียงร้อยละ 0.8 จากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลงและมาตรการช่วยค่าครองชีพภายในประเทศ สะท้อนว่าแรงอุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแรง ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดก็เริ่มเด่นชัด จากสัดส่วนสินค้าที่มีราคาปรับลดในตะกร้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 43 ประกอบกับรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวได้ช้ากว่าค่าใช้จ่ายจริง ทำให้กำลังซื้ออ่อนแออย่างต่อเนื่อง จากสัญญาณเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลงทั้งจากการเติบโตที่ชะลอตัว เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเงินฝืด
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ มองว่า ความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจปี 2569 ของไทยนั้นอ่อนแรงถดถอยพร้อมกันในหลายด้าน ทั้งเครื่องยนต์ภายในที่เริ่มหมดพลัง ภาระทางการเงินที่หนักขึ้นต่อทั้งครัวเรือนและภาคธุรกิจ ตลอดจนแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน สถานการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าเปรียบเสมือน “ม้าอ่อนแรงในสนามที่มีแต่เครื่องกีดขวาง” ที่ต้องวิ่งฝ่าทั้งอุปสรรคภายในและปัจจัยภายนอกพร้อมกัน เมื่อแรงส่งหลายด้านอ่อนกำลังลงและความเสี่ยงต่าง ๆ ทับซ้อนกันมากขึ้น ทำให้เกิดความท้าทายที่ประเทศไทยต้องรับมือในปีข้างหน้า 4 ประการ ทั้งขาดเครื่องยนต์หลักภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวต่อเนื่อง ภาคการส่งออกจะอ่อนแรงลงอีก ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก หน่วยงานที่ช่วยในการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้น แต่การลงทุนจริงกลับล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดเสถียรภาพทางการเมืองที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของไทยยัง ถูกถ่วงด้วยภาระหนักด้วยระดับหนี้ที่ยังสูง โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ต้องเผชิญกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และหนี้สินในกลุ่ม SME สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 86.8 ซึ่งเป็นระดับที่กดทับกำลังซื้อ และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนทำให้มีภาระทางการเงินสูงขึ้น ส่งผลต่อการออมและการลงทุนน้อยลง การถูกกีดกันจากปัจจัยภายนอก ในปีข้างหน้าคาดการณ์ว่าปริมาณการค้าโลกจะขยายตัวลดลงร้อยละ 2.3 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อศักยภาพการส่งออกของไทย โดยมีความเสี่ยงจากความขัดแย้งในหลายภูมิภาค สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างประเทศมหาอำนาจยังยืดเยื้อ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้นในหลายอุตสาหกรรม ทั้งเหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีขั้นสูง ล้วนจำกัดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย
ส่วนการกระตุ้นจากภาครัฐยังได้ผลจำกัด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เป็นปีกำหนดการเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยปี 2569 อยู่ในภาวะที่ต้องอาศัยแรงกระตุ้นจากภาครัฐ เนื่องจากข้อมูลล่าสุดสะท้อนการชะลอตัวต่อเนื่อง โดย GDP มีแนวโน้มว่าไตรมาส 4 อาจลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 1 ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2569 จะเป็น “ปีกำหนดการเลือกตั้ง” ซึ่งจะนำมาซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งช่วงรอยต่อก่อน–หลังกำหนดการเลือกตั้ง ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และความเป็นไปได้ของการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจในระยะสั้น ความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจทำให้การใช้จ่ายภาครัฐสะดุด การตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนชะลอ และลดทอนพลังของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น ปี 2569 จึงไม่ใช่แค่ปีที่ต้องจับตาระดับการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่ยังต้องจับตาความต่อเนื่อง ความเร็ว และเสถียรภาพของนโยบาย ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจทั้งปีด้วย
ดร.แดน ให้คำแนะนำสำหรับ ประชาชน รัฐบาล และธุรกิจ ว่า เมื่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ขยายตัวต่ำ เสี่ยงเงินฝืด พร้อมทั้งต้องเผชิญความท้าทายหลายประการ ข้อแนะนำสำหรับภาคประชาชน ควร เพิ่มเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อรองรับภาวะรายได้สะดุดในช่วงตลาดงานที่เปราะบาง ควบคู่กับการ “รัดเข็มขัดทางการเงิน” โดยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หากมีหนี้เดิม ควรรีบดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้ภาระเบาลง ก่อนที่ดอกเบี้ยอาจปรับสูงขึ้น และควรประเมินสภาพคล่องล่วงหน้าอย่างน้อย 12-18 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่ที่ไม่จำเป็นเพราะสภาวะเศรษฐกิจอาจทำให้รายได้โตช้ากว่าภาระผ่อนที่ต้องรับผิดชอบ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะเดิม (Reskill) และ การสร้างทักษะขึ้นมาใหม่ (Upskill) เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหลักสูตรสั้น ๆ ที่มีประโยชน์จริง สำหรับเยาวชน ควรเตรียมความพร้อมด้านทักษะตั้งแต่ช่วงเรียนโดยการฝึกงานที่พัฒนาความสามารถไปพร้อมกับการศึกษา ส่วนผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพ การเข้าร่วมกิจกรรมอาสา งานชุมชน หรือบทบาทที่ใช้ประสบการณ์เดิมอาจเป็นทั้งประโยชน์ต่อประเทศ หากมีระบบสนับสนุนที่เหมาะสม
ด้านคำแนะนำสำหรับภาคธุรกิจ จำเป็นต้องปรับตัวอย่างจริงจังในช่วงเศรษฐกิจโตต่ำ โดยเริ่มจากการทำให้ธุรกิจ “Lean” มากที่สุด ผ่านการปรับโครงสร้างต้นทุนให้ยืดหยุ่นขึ้นและเปลี่ยนค่าใช้จ่ายคงที่ไปสู่ต้นทุนแปรผัน เพื่อให้บริษัทรับมือรายได้ที่ผันผวนได้ดีขึ้น อีกทั้งควรเลือกเทคโนโลยีที่คุ้มค่า เช่น เครื่องมือ AI ระบบบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานและเวลา พร้อม Reskill ทีมงานให้มีความเข้าใจเทคโนโลยีพื้นฐาน และต้องปรับตัวด้านต้นทุนและประสิทธิภาพ ต้องรุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อลดการพึ่งพาภาคท่องเที่ยวหรือการส่งออก ออกมาตรการรัฐอย่างชาญฉลาด เพิ่มห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มการผลิตในประเทศบางส่วน เพื่อลดความเสี่ยงภายนอก
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ยังแนะนำภาครัฐ ว่า จำเป็นต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เกิดผลลัพธ์ต่อเศรษฐกิจเร็วที่สุด รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี พ.ศ. 2570 ให้เสร็จตามกำหนดเพื่อป้องกันความล่าช้าที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของประเทศ รักษาเสถียรภาพทางการเมืองควบคู่กับการเร่งลงทุนในโครงการที่ได้รับอนุมัติให้เดินหน้าอย่างโปร่งใส หยุดปัญหาเงินใต้โต๊ะคอร์รัปชัน เร่งแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจผ่านการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก ออกมาตรการช่วยเหลือ SME เร่งฟื้นตัวภาคเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ไปพร้อมกับการดูแลภาคการเกษตรอย่างรอบด้าน ทั้ง การฟื้นฟูเกษตรกรหลังอุทกภัย เตรียมตลาดรองรับในปีหน้า และการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด รัฐควรกระจายความเสี่ยงเศรษฐกิจสู่ตลาดใหม่ เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า และสร้างภูมิคุ้มกันให้เศรษฐกิจไทยในโลกที่แข่งขันรุนแรงขึ้น
“เศรษฐกิจไทยในปี 2569 เผชิญความท้าทายรอบด้าน การฟื้นตัวจึงต้องอาศัยทั้งนโยบายที่ชัดเจนและเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง ซึ่งเป็นรากฐานของความเชื่อมั่นต่อประชาชน นักลงทุน และภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในปีที่ประเทศกำหนดให้มีการเลือกตั้งและอาจมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หวังว่าปีหน้าประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่ดีที่สุดใน 94 ปีประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยที่มีความสามารถ กล้าตัดสินใจและมุ่งประโยชน์ส่วนรวมเป็นรัฐบาลคุณภาพ ดี เก่ง กล้า มีวิสัยทัศน์ระยะยาว มียุทธศาสตร์ที่ดีและเข้าใจบริบทโลกนานาชาติ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวข้ามข้อจำกัดและพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น พร้อมวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตระยะยาวของประเทศต่อไป” ดร.แดน กล่าวทิ้งท้าย


