เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะกลับไปดูคุณพ่ออเมริกากันอีกสักรอบนั่นแหละทั่น!!! เพราะหลังๆ มานี้แม้ว่าภายใต้การบริหารของผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะยังสามารถออกฤทธิ์ออกเดช สร้างความปั่นป่วน ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับโลกทั้งโลก ด้วย “ลูกบ้า” แต่ละชนิด ไม่ว่าโดยอัตราภาษีศุลกากร การกีดกันป้องกันทางการค้า ไปจนถึงการข่มขู่คุกคาม ใครต่อใคร แต่โดยลักษณะอาการหลักๆ หรือโดย “รูปมวย”ของมหาอำนาจสูงสุดในระยะหลังๆ แล้ว...น่าจะหนักไปทางเสียมวย เสียหมา หรือเสียสุนัขให้เห็นแบบถนัดชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...
ไม่เพียงแต่การเปิดเผยถึงแนวคิดทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “The 2025 National Security Strategy” ซึ่งส่อให้เห็นถึงการยอมรับยอมสารภาพ ว่าโลกใบนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ภายใต้อเมริกาและโลกตะวันตกอีกต่อไป เมื่อวัน-สองวันนี้...ยังมี “ข่าวล่า-ข่าวลือ” ถึงขั้นว่า ยังได้แจกจ่ายเอกสารแนบท้ายประกอบแนวคิดดังกล่าวในหมู่ผู้บริหารรัฐบาล ถึงความริเริ่มที่จะหาทางทำให้ “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ที่อุบัติขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วในโลกใบนี้ รวมตัวกันเป็นกลุ่มความร่วมมือที่เรียกๆ กันว่า “Core 5”หรือเป็นเวทีที่จะทำให้บรรดา “ขั้วอำนาจ” หลักๆ อันประกอบไปด้วยประเทศ 5 ประเทศ คืออเมริกา-จีน-อินเดีย-รัสเซีย-และญี่ปุ่น ใช้เป็นพื้นที่พบปะ เจรจา ในการหาทางออกให้กับ “ปัญหาความมั่นคง” ของภูมิภาคต่างๆ ทั่วทั้งโลก แทนที่จะอาศัยเวทีเดิมๆ ซึ่งเคยเป็นผู้ควบคุม บงการ สั่งหันซ้าย-หันขวาโลกทั้งโลกมาโดยตลอด อย่างกลุ่มประเทศ “G7”อันประกอบไปด้วยประเทศอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี แคนาดา ญี่ปุ่น หรือกลุ่มประเทศโลกตะวันตกเป็นหลัก...
จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ...คงต้องลองไปสอบถามสำนักข่าวความมั่นคงระดับโลกอย่าง “The Defense One” ที่เป็นผู้ปูดข่าวเรื่องนี้เอาเองก็แล้วกัน แต่ก็นั่นแหละ...ถึงจะไม่ไปไกล ไปโลด ถึงขั้นการคิดจะจัดตั้งกลุ่มประเทศ “Core 5” หรือ “C-5” ขึ้นมาแทนที่กลุ่มประเทศ “G7” ก็ตามที แต่แค่ “The 2025 National Security Strategy”ของ “ทรัมป์บ้า” ก็เล่นบรรดา “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” หรือพันธมิตรแห่งโลกตะวันตกของอเมริกา ประเภทอียู-อีย้วย หรือแม้แต่องค์กรพันธมิตรทางทหารสองฟากฝั่งแอตแลนติก อย่าง “NATO”แทบจะหลับไม่ลงเอาเลยก็ว่าได้ เพราะผู้นำอเมริกาแทบไม่ได้ให้ค่าให้ราคาใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แถมกลับหันไปเน้นย้ำถึง “ความต้องการที่จะสถาปนาสัมพันธภาพทางยุทธศาสตร์กับรัสเซีย” อันเป็นสิ่งที่บรรดาชาติยุโรปซึ่งยังคงติดเชื้อโรค “Russophobia” ชนิดรักษายังไงก็คงไม่หาย ต่าง “รับไม่ได้”ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือทำให้สัมพันธภาพระหว่างอเมริกากับพันธมิตรที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด ออกอาการใกล้ “แตก...ดังโพละ” ใกล้เจ๊ง ใกล้ล่มสลายเต็มที แม้แต่องค์กร “NATO”ที่มีอเมริกาเป็นผู้นำ ก็อาจถึงขั้น “หมดสภาพ”เอาง่ายๆ!!!
แต่การคิดจะเปลี่ยนมิตรเปลี่ยนม้ากลางลำธาร หรือเปลี่ยนมายอมรับความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”แทนที่จะยังคงดื้อดึงอยู่กับความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ของอเมริกา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ง่ายๆ สะดวกสบาย เหมือนการเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนผ้า หรือเปลี่ยนพรมเช็ดเท้าก็หาไม่ เพราะความพยายามที่จะดำรงตนเป็น “ขั้วอำนาจ” แบบเดิมๆ หรือแบบครั้งที่อเมริกายังคง “ยิ่งใหญ่”อยู่ใน “Western Hemisphere”จนสามารถห้ามมิให้ใครต่อใครเข้ามา “แตะ” ซีกโลกแห่งนี้ได้เป็นอันขาด ตามแบบฉบับ “ลัทธิมอนโร” (Monroe Doctrine) เมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ในเมื่อโลกมันได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปเยอะแล้ว โอกาสย้อนกลับไปสู่สภาวะเดิมๆ มันคงไม่ถึงกับ “ง่าย” มากมายสักเท่าไหร่ หรือทำให้ “ลัทธิดอนโร”หรือ “Donroe Doctrine”ไม่ใช่ “ลัทธิมอนโร”ดังที่หนังสือพิมพ์ “The New York Times” เขาให้ชื่อฉายาเอาไว้ มันเลยออกจะติดๆ ขัดๆ แบบชนิด “ยักตื้น-ติดกึก...ยักลึก-ติดกัก” อะไรประมาณนั้น...
เพราะความพยายามแสดงออกถึงความ “ยิ่งใหญ่” ด้วยการคิดจะปัดกวาด “สวนหลังบ้าน” ของตัวเอง หรือด้วยการยกพหลพลโยธา ไม่ว่าตั้งแต่เรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรือดำน้ำนิวเคลียร์ กองเรือรบไปจนเครื่องบินโจมตี เครื่องบินทิ้งระเบิดและทวยทหารอีกนับเป็นหมื่นๆ เข้าไปล้อมกรอบประเทศเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียน อย่างประเทศเวเนซุเอลา มาบัดนี้...ก็ปาเข้าไปประมาณ4 เดือนกว่าๆ ก็ยังไม่อาจทำอะไรแบบเป็นชิ้นเป็นอัน ในการคิดจะเปลี่ยนระบอบการปกครอง ยึดแหล่งทรัพยากร ยึดประเทศทั้งประเทศได้ง่ายๆ ล่าสุด...ก็แค่ยึดเรือขนส่งน้ำมันที่ถูกกล่าวหาว่าจะขนไปยังประเทศอิหร่านอันเป็นประเทศที่ถูกอเมริกา “แซงก์ชั่น”มานานแสนนาน หรือแทบไม่ต่างไปจากการ “ปล้น” การลักเล็ก-ขโมยน้อย ไม่ถึงขั้นบรรลุเป้าหมายและเจตนารมณ์แบบที่เคยทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ไปทั่วทั้ง “Western Hemisphere” แบบเดิมๆ ได้เลย...
เพราะก่อนที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะยกหูโทรศัพท์มาพูดคุยกับ “นายกฯ หนู อนุทิน” ของหมู่เฮาทั้งหลายเพื่อขอให้หยุดยิงหยุดสู้รบกับประเทศเคลมโบเดีย หรือสแกมโบเดียของ “สมเด็จฮวยเซ็ง” เมื่อช่วง 3 ทุ่มของวันศุกร์ที่ผ่านมา(12 ธ.ค.) ปรากฏว่าผู้นำเวเนซุเอลา ประธานาธิบดี “Nicolas Maduro” ท่านได้ยกหูโทรศัพท์ไปพูดคุยกับผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ช่วงวันพฤหัสฯ(11 ธ.ค.) และต่างยืนยันนั่งยัน ถึงข้อตกลงในสนธิสัญญาความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระหว่างรัสเซีย-เวเนซุเอลา ที่ผู้นำทั้งสองได้ร่วมลงนามเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หรือทำให้ผู้นำรัสเซียต้องออกมาป่าวประกาศถึง “ความเป็นเอกภาพระหว่างประชาชนชาวเวเนซุเอลาและรัสเซีย ด้วยการสนับสนุนรัฐบาล Maduro ในการปกป้องผลประโยชน์และอธิปไตยของชาติต่อแรงกดดันใดๆ ของต่างชาติ”อันทำให้ความพยายามที่จะ “ปัดกวาดสวนหลังบ้าน” ของ “ทรัมป์บ้า”ตามแบบฉบับ “ลัทธิดอนโร” น่าจะออกอาการกลืนไม่เข้า-คายไม่ออก หรือ “ลูกกระเดือกติดคอ” ไปอีกตราบนานเท่านาน...
หรือแม้แต่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง...ที่เอกสารทางยุทธศาสตร์“The 2025 National Security Strategy” ได้พยายาม
“ลดความสำคัญ” ลงไปจากเดิม หรือเปลี่ยนมาเน้นในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า-การลงทุน แทนที่จะไปมุ่งอยู่กับเรื่องความมั่นคงปลอดภัย หรือการ “ยัดเยียดระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ให้กับบรรดาโลกอิสลามทั้งหลาย แต่เอาไป-เอามาแล้ว...โอกาสที่ “ขั้วอำนาจ”อย่างอเมริกาจะสลัดตัวเองออกไปจาก “พันธะอันศักดิ์สิทธิ์” ที่มีต่อพันธมิตรอย่างคุณทวดอิสราเอลนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ ตราบใดที่อำนาจอิทธิพลของบรรดานักธุรกิจชาวยิวทั้งหลาย ยังคงดำรงอยู่ใน “Deep State”ของอเมริกาอย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย ยิ่งเมื่อคำนึงถึง “ข่าวล่า-มาเรือ” ครั้งล่าสุด ที่หนังสือพิมพ์รายวันที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล อย่าง“The Maariv”ได้เปิดเผยถึงความพยายามครั้งใหม่ของรัฐบาล “Netanyahu” ในอันที่จะเปิดฉาก “สงครามครั้งใหม่” กับประเทศอิหร่าน โดยหนีไม่พ้นที่จะต้องหาทางฉุดกระชากลากถู คุณพ่ออเมริกาให้ร่วมฉิบหายวายวอดไปกับอิสราเอลอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น อันนี้...ก็ยิ่งน่าจะส่งผลให้ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”ที่ถูกถือเป็นผู้ให้ความสนับสนุนอิสราเอลมากกว่าผู้นำอเมริการายใดๆ ยิ่งต้องหันรี-หันขวาง ต้องออกอาการ “แบ๊ะ-แบ๊ะ-แบ๊ะ” ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...การยอมรับว่าอเมริกาไม่ใช่ “ขั้วอำนาจเดียว” อีกต่อไป แม้ว่าเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง กับข้อเท็จจริงแห่งความเป็นไปของโลกยุคนี้สมัยนี้ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า “ขั้วอำนาจอเมริกา”จะยังคงสามารถดำรงความ
“ยิ่งใหญ่” ในแบบเดิมๆ หรือแบบเมื่อกว่าสองร้อยปีที่แล้ว ได้อย่างชนิดที่สามารถทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่ หรือ “America Great Again”แต่อย่างใด ด้วยเหตุเพราะ “ความเปลี่ยนแปลง” มันอาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนจาก “หน้ามือ” ไปเป็น “หลังตีน”ได้เสมอๆ หรือทำให้ “จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่”ใดๆ ก็ตามเมื่อครั้งอดีต หนีไม่พ้นต้องตกอยู่ภายใต้ “กฎอนิจจลักษณะ”กฎแห่งการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิกรีก จักรวรรดิโรมัน หรือกระทั่งจักรวรรดิอังกฤษที่ “พระอาทิตย์” เลี่ยงไม่พ้นต้องมีอันตกดินไปจนได้ ด้วยลักษณะอาการแบบ “ยักตื้น-ติดกึก...ยักลึก-ติดกัก” เสียรูปมวย เสียหมา เสียสุนัข ที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงอาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มแห่ง “อวสาน” ของ “จักรวรรดิอเมริกา” เป็นรายต่อไป...


