xs
xsm
sm
md
lg

พระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ไทยในการประกาศสงคราม : จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: รศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

รศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาสถิติศาสตร์
สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
นายจิตรากร ตันโห
นิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


พระมหากษัตริย์ แปลว่า นักรบผู้ยิ่งใหญ่ คำว่า กษัตริย์ นั้นเป็นวรรณะหนึ่งในอินเดีย และเป็นวรรณะของนักรบผู้ทำหน้าที่ปกป้องชาติบ้านเมือง ด้วยแนวคิดแบบเทวราชาหรือสมมุติเทวราช องค์พระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่นักรบปกป้องบ้านเมืองอันหมายถึงชีวิตของราษฎรและพระราชอาณาเขต ให้อยู่เย็นเป็นสุขสันติ ดังเทพที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง

ดังนั้นองค์พระมหากษัตริย์จึงทรงดำรงตำแหน่งองค์จอมทัพไทยเสมอมา แม้กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแล้วก็ตาม ดังที่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้าได้พระราชนิพนธ์ไว้ว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์ ศัตรูกล้ามาประจัญ จะอาจสู้ริปูสลาย” ซึ่งมาจากวลีในภาษาอังกฤษที่ว่า “If you want peace, prepare for war.” อันมาจากวลีในภาษาละติน “Si vis pacem, para bellum” อีกทอดหนึ่ง

การทำสงครามจึงถือว่าเป็นหน้าที่ขององค์พระมหากษัตริย์ในการปกป้องชาติบ้านเมือง นับแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช ล้วนเคยทรงทำสงครามปกป้องชาติบ้านเมืองและขยายพระราชอาณาเขตมาแล้วทั้งสิ้น จะโดยมีการประกาศสงคราม (Declare war) ตามแนวความคิดของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ ที่ก็มิได้มีฉันทามติว่าต้องมีการประกาศสงครามก่อนทำสงครามก็หาไม่

ในฐานะที่องค์พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์ (Sovereignty) ทรงเป็นนักรบ และทรงเป็นองค์จอมทัพไทย การประกาศสงครามจึงเป็นพระราชอำนาจ และต้องมีพระบรมราชโองการเท่านั้น

ดังที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรทุกฉบับได้มีบทบัญญัติไว้ว่า การประกาศสงครามเป็นพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ อยู่เสมอ

พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บัญญัติไว้ในมาตรา 37 ว่า “การประกาศสงครามเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์ แต่จะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ตามคำแนะนำของกรรมการราษฎร”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 มาตรา 54 บัญญัติไว้ว่า

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม ทำหนังสือสัญญาสันติภาพสงบศึก และทำหนังสือสัญญาอื่น ๆ กับนานาประเทศ

การประกาศสงครามนั้น จะทรงทำต่อเมื่อไม่ขัดแก่บทบัญญัติแห่งกติกาสันนิบาตชาติ

หนังสือสัญญาใด ๆ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์สยามหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาไซร้ ท่านว่าต้องได้รับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร

จากรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับในพ.ศ. 2475 จะเห็นได้ว่า พระราชอำนาจในการประกาศสงครามขององค์พระมหากษัตริย์ยังทรงดำรงอยู่ เพราะองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์และองค์จอมทัพไทย แต่เป็นพระราชอำนาจที่ทรงใช้ผ่านผู้ที่เป็นรัฐบาลหรือตัวแทนของปวงชนชาวไทย เช่น กรรมการราษฎรในเวลานั้นทำหน้าที่ประหนึ่งรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีการปรับการใช้พระราชอำนาจให้อยู่ในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศ ดังมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ. 2475 ที่ระบุว่าให้เป็นไปตามกติกาของสันนิบาตชาติ (League of Nations) อันเป็นองค์กรโลกบาลหรือองค์กรระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มาตรา 75 ได้บัญญัติว่า

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความยินยอมของรัฐสภาแล้ว

มติให้ความยินยอมของสภา ต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา”

แสดงให้เห็นว่าการประกาศสงครามเป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำโดยความรอบคอบของรัฐสภาและเสียงส่วนใหญ่ไม่เพียงพอ ต้องมากกว่าสองในสาม จึงจะตัดสินใจประกาศสงครามได้ แล้วจึงไปกราบบังคมพระกรุณาให้ลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการประกาศสงคราม

เมื่อมีการรัฐประหาร (Coup d’etat) แนวทางในการเขียนบทบัญญัติเกี่ยวกับพระราชอำนาจในการประกาศสงครามนั้นมีอยู่สองแนวทาง

แนวทางแรก เขียนไว้โดยตรงใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว โดยตรง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 มาตรา 83

แนวทางที่สอง เขียนโดยอ้อมให้การประกาศสงครามเป็นพระราชอำนาจตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข อันเป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Code law) ด้วยกฎหมายจารีตประเพณี (Common law) และถือว่าเป็นพระราชอำนาจพิเศษ (Royal prerogative) ดังที่ รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2502 มาตรา 20 บัญญัติว่า

“ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย

ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวแก่การวินิจฉัยกรณีใดตามความในวรรคก่อนเกิดขึ้นในวงงานของสภา หรือเกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีขอให้สภาวินิจฉัย ให้สภาวินิจฉัยชี้ขาด”

เช่นเดียวกันกับธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2515 มาตรา 22 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2520 มาตรา 30 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2534 มาตรา 30 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 มาตรา 38 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 5 ได้บัญญัติไว้ในทำนองเดียวกันแต่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2560) มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจในการสงครามดังนี้
“มาตรา 8 พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย”
“มาตรา 177 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

มติให้ความเห็นชอบของรัฐสภาต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา”

ตามหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ โดยทั่วไป ผู้ใดมีอำนาจสถาปนา ผู้นั้นย่อมมีอำนาจถอดถอน ในเมื่อองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม องค์พระมหากษัตริย์ก็ย่อมทรงมีพระราชอำนาจในการยุติสงคราม อันได้แก่พระราชอำนาจในการสงบศึก การทำหนังสือสัญญาสันติภาพ อันเป็นการยุติหรือสิ้นสุดแห่งการประกาศสงคราม ย่อมต้องเป็นพระราชอำนาจแห่งองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง ดังที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ว่า
“มาตรา 178 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ

หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทย มีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ

หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วมหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

ให้มีกฎหมายกำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย

เมื่อมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่ คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ”

แต่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น แม้จะมีการสงครามมาหลายสิบครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงครามยุทธหัตถี สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา สงครามเก้าทัพ หรือสงครามอื่น ก็หาได้มีการประกาศสงครามเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ เนื่องเพราะแนวความคิดในการประกาศสงคราม เป็นแนวคิดทางกฎหมายระหว่างประเทศที่หาได้มีฉันทามติไม่ การทำสงครามกันระหว่างชาติ มิได้มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องประกาศสงคราม (Declare war) ก่อนการทำสงครามแต่อย่างใด

ดังนั้นประเทศไทยจึงเคยมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามเพียงสองครั้ง คือ

ครั้งที่หนึ่ง การประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 ดังประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการว่าด้วยการสงครามซึ่งมีต่อประเทศเยอรมนีและออสเตรียฮังการี

การตัดสินพระทัยเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ส่งผลดีมากมายต่อประเทศไทยในภายหลังในฐานะผู้ชนะสงคราม

ดังที่พระเจ้ายอร์ชที่ 6 แห่งอังกฤษ ทรงส่งพระราชโทรเลขมายังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2462 และได้ทรงมีพระราชโทรเลขตอบกลับไป

ผลจากการประกาศสงครามและเข้าร่วมสงครามกับประเทศผู้ชนะสงครามทำให้สยามสามารถเจรจาแก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้เป็นผลสำเร็จในภายหลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7




















อนึ่งมีข้อพึงสังเกตว่า แม้พระราชอำนาจในการประกาศสงคราม จะเป็นพระราชอำนาจอันเป็นขององค์พระมหากษัตริย์อันมีอยู่เต็มเปี่ยมอย่างสมบูรณ์ในระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กลับทรงระมัดระวังในการใช้พระราชอำนาจนี้ในการประกาศสงครามเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการประกาศสงครามย่อมส่งผลใหญ่หลวงต่อพระราชอาณาจักรและราษฎรทั้งปวง และเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ในช่วงแรกเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีพระบรมราชโองการแสดงความเป็นกลางของสยามต่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป ดังพระบรมราชโองการ ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2457 และกว่าจะมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามก็เป็นเวลา 3-4 ปี จนสงครามโลกครั้งที่ 1 ใกล้สงบลงในอีกสองปีหลังจากที่ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศสงคราม โดยทรงยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศตามสนธิสัญญา ณ กรุงเฮก โดยมีพระราชประสงค์ให้คนทุกชาติที่อยู่ในพระราชอาณาเขตของสยาม แม้จะเป็นประเทศคู่สงครามกันสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุกสงบเรียบร้อย




อย่างไรก็ตาม เมื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยว่าสยามควรประกาศสงคราม เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งสยามจะได้ผลประโยชน์จากการเป็นฝ่ายชนะสงครามในภายหลังเป็นอันมาก จึงมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามในช่วงกลางไปถึงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในภายหลังแทน

หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 พระราชอำนาจในการประกาศสงคราม ยังคงดำรงอยู่กับองค์พระมหากษัตริย์ แต่เป็นพระราชอำนาจในฐานะองค์รัฎฐาธิปัตย์และองค์จอมทัพไทย ที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้มีอำนาจบริหารปกครองบ้านเมือง การที่ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามามีส่วนร่วมกับฝ่ายบริหารในการตัดสินใจประกาศสงครามนั้น เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่อย่างน้อยผ่านตัวแทนของปวงชนชาวไทยก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ทั้งหมดทั้งปวง เมื่อฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติได้ตัดสินใจร่วมกันในการประกาศสงครามแล้ว ยังต้องไปกราบบังคมทูลพระกรุณาให้มีพระบรมราชโองการประกาศสงคราม เพราะองค์พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์และองค์จอมทัพไทย และยังเป็นพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม

การประกาศสงครามครั้งที่สองของไทย เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 โดยมีพระบรมราชโองการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองกับฝ่ายอักษะ ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่คือสหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 ในสมัยที่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และเนื่องจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลยังทรงพระเยาว์และยังมิได้ทรงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จึงมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้ลงนามในพระปรมาภิไธย อันประกอบด้วย พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน และนายปรีดี พนมยงค์






การยกพลขึ้นบกของกองทัพญี่ปุ่น ที่จะพยายามโจมตีประเทศไทยและจะสร้างทางรถไฟสายมรณะผ่านไปยังพม่าและอินเดีย เป็นเหตุที่ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม อันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง เพราะท้ายที่สุดฝ่ายอักษะคือ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น แพ้สงครามโลกครั้งที่สองอย่างราบคาบ หลังจากที่มีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ

ตามหลัก The king can do no wrong. อันเป็นหลักสำคัญของระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในการประกาศสงครามคือผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น

อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจประกาศสงครามของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รวมตัวกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยโดยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองกับฝ่ายสัมพันธมิตร ในสหรัฐอเมริกามีหัวหน้าเสรีไทยคือ มรว. เสนีย์ ปราโมช ซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ในอังกฤษมีหัวหน้าเสรีไทยคือ ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ หรือท่านชิ้น โดยมีสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งเวลานั้นประทับในอังกฤษ หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราชสมบัติและยังมิได้เสด็จนิวัตประเทศไทย ทรงสนับสนุนการดำเนินงานของเสรีไทยสายอังกฤษ พระตำหนักในอังกฤษเป็นที่พักของเสรีไทยระหว่างการหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนในประเทศไทยเอง หัวหน้าเสรีไทยคือนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

สิ่งที่คนไทยควรต้องทราบคือภายหลังการแพ้สงครามโลกครั้งที่สองของฝ่ายอักษะ ลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเตน หัวหน้าทหารของฝ่ายสัมพันธมิตรในภูมิภาคจะเดินลงตรวจพลสวนสนาม ณ ถนนราชดำเนินกลาง ในกรุงเทพมหานคร ยุวกษัตริย์ในเวลานั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงตัดสินพระทัยแก้ไขปัญหาของประเทศไทยด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จลงตรวจพลสวนสนามฝ่ายสัมพันธมิตร พร้อมกับลอร์ดเมานต์แบ็ตเทน เมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2489 ทำให้สถานะของประเทศไทยเปลี่ยนจากผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง เป็นผู้ร่วมเข้าประกาศสงครามโลกครั้งที่สองกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศไทยไม่ถูกเรียกร้องค่าปฏิกรณ์สงคราม และไม่ต้องเสียหายหนักมากจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สอง


อันที่จริง ประเทศไทยได้มีสงครามอีกหลายครั้งแม้เราจะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแล้ว แต่มิได้มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ได้แก่

สงครามมหาเอเชียบูรพา ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน ไทยได้รับแขวงจำปาศักดิ์ ของลาว จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และ ศรีโสภณ รวมกันเรียกว่ามณฑลบูรพา กลับคืนมาอยู่ภายใต้การปกครองของไทยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไทยก็มิได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

ศึกเชียงตุงหรือสงครามเชียงตุง ที่กองทัพไทย (กองทัพพายัพ) บุกยึดเชียงตุง หรือรัฐฉานของพม่าในปัจจุบัน (Shan States) และไทยยังได้ยึดครองสี่รัฐมาลัย (กลันตัน, ตรังกานู, ไทรบุรี, ปะลิส) อันเคยเป็นส่วนหนึ่งของไทยในฐานะหัวเมืองประเทศราชกลับคืนมา โดยไม่มีการประกาศสงครามแยกต่างหากกับดินแดนเหล่านี้ แต่กลับใช้การผนวกดินแดนกลับคืน (Annexation) มาแทน

โดยมีประกาศพระบรมราชโองการใช้สนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยอาณาเขตของประเทศไทยในมาลัยและภูมิภาคฉาน เมื่อ พ.ศ. 2486

นอกจากนี้สงครามระหว่างไทยกับลาว ที่สมรภูมิบ้านร่มเกล้า ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในระหว่าง พ.ศ. 2530-2531 ก็มิได้มีพระบรมราชโองการประกาศสงครามแต่อย่างใด










ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ ไทย หลีกเลี่ยงการประกาศสงครามโดยตรง แม้การประกาศสงครามจะเป็นพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาจนสมัยประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เพราะการประกาศสงครามมีผลได้ผลเสียที่สูงมาก และเป็นการตัดสินใจสำคัญที่มีเดิมพันสูงของบ้านเมือง หากตัดสินใจผิดพลาด และมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามไปแล้วจะแก้ไขสถานการณ์ให้พลิกฟื้นกลับมาเป็นฝ่ายชนะสงครามได้นั้นยากลำบากยิ่ง ดังที่ไทยเองได้รับบทเรียนจากการประกาศสงครามโลกครั้งที่สองโดยการตัดสินใจของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ ประเทศไทยเอง หลีกเลียงการประกาศสงครามหากไม่มีความจำเป็นจริงๆ และการศึกสงครามนั้นไม่ได้ลุกลามจนกลายเป็นสงครามระหว่างรัฐ (Interstate War) หรือที่เรียกตามศัพท์กฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดการรบ (International Armed Conflict: IAC) ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) ตามมาตราสองของสนธิสัญญาเจนีวาได้ระบุไว้ว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดการรบ หมายถึง การรบระหว่างกองกำลังติดอาวุธระหว่างสองฝ่าย หรือมากกว่า ไม่ว่าจะมีขนาดใด มีระยะเวลายาวนานเพียงใด และณ ที่ตั้งใด ก็ตาม

อย่างไรก็ตามไทยและอีกหลายประเทศหลีกเลี่ยงการประกาศสงครามระหว่างรัฐ และมักใช้คำว่าข้อพิพาทระหว่างชายแดน (Border Clash/Frontier Incident) เสียมากกว่า

หากลองพิจารณาจะเห็นได้ว่า สงครามมหาเอเชียบูรพาที่ทำให้ไทยสามารถยึดคืนแขวงจำปาศักดิ์จากลาว มณฑลบูรพาคือพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ จากกัมพูชา และสี่รัฐมาลัย คือ ไทรบุรี ปะลิส กลันตัน และตรังกานู กลับคืนมาเป็นของไทย ตลอดจนศึกเชียงตุงที่กองทัพไทยไปรบยึดรัฐฉานกลับคืนมาจากสหภาพพม่า และเหตุการณ์สมรภูมิบ้านร่มเกล้า ก็ยังมิได้มีพระบรมราชโองการประกาศสงครามแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป็นเพียงข้อพิพาทระหว่างชายแดน (Border clash) เท่านั้น

มีหลายคนคิดว่าขณะนี้ประเทศไทยเรามีสงครามกับกัมพูชา เพราะความตึงเครียดที่เกิดขึ้นทำให้มีการยิงสู้รบกันมาสองระลอก ระลอกแรกสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดี Donald Trump เข้ามาขอให้ลงนามในสนธิสัญญาหยุดยิง แต่แล้วก็เกิดสงครามระลอกที่สองขึ้นภายหลังจากฤดูมรสุมผ่านพ้นไปและน้ำในโตนเลสาปของกัมพูชาเริ่มแห้ง ทำให้สะดวกในการกลับมาทำสงครามอีกครั้ง

ระลอกที่สองนี้มีแนวปะทะครบทั้ง 8 จังหวัดชายแดน คือ หนึ่ง อุบลราชธานี สอง ศรีสะเกษ สาม สุรินทร์ สี่ บุรีรัมย์ ห้า นครราชสีมา บริเวณนี้อยู่ในการดูแลและบัญชาการรบของกองทัพภาคที่สอง กองทัพบก หก สระแก้ว บริเวณนี้อยู่ในการดูแลและบัญชาการรบของกองทัพภาคที่หนึ่ง กองทัพบก เจ็ด จันทบุรี และ แปด ตราด บริเวณนี้อยู่ในการดูแลและบัญชาการรบของกองทัพภาคที่หนึ่ง กองทัพบก แต่ในทางปฏิบัติสองจังหวัดนี้หน่วยนาวิกโยธิน กองทัพเรือเป็นผู้ดูแลพื้นที่และบัญชาการรบ เท่าที่ทราบยังไม่มีการรบในทะเลหรือยุทธนาวีในอ่าวไทย เนื่องจากกัมพูชาไม่มีเรือรบ

คำถามคือจำเป็นหรือไม่ที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องทรงใช้พระราชอำนาจในการประกาศสงคราม และนายกรัฐมนตรีคือคณะรัฐมนตรีร่วมกับรัฐสภา จำเป็นต้องลงมติในรัฐสภา แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ลงพระปรมาภิไธยประกาศสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ ก็ขอตอบว่าไม่จำเป็นและไม่สมควร

หนึ่ง การประกาศสงคราม (Declaration of war) ไม่มีความจำเป็นในกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ได้มีข้อบังคับใด และไม่ได้เป็นที่นิยมจนเป็นฉันทามติ รบก็คือรบ และรบได้ทันทีหากมีความจำเป็น

สอง ณ เวลานี้ สิ่งที่กองทัพไทย อันรวมถึง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการอยู่เป็นเพียงการป้องกันตนเอง (Self-defense) จากการที่กัมพูชา รุกรานเราก่อน ด้วยการวางทุ่นระเบิด อันผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และยิงเข้ามาในประเทศไทยก่อน เราจึงมีสิทธิที่จะตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ทั้งนี้การระเบิดทำลายสถานที่อันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของไทย ได้แก่ การระเบิดเครนที่เขาพระวิหาร การระเบิดคาสิโนตามชายแดนที่ใช้สะสมอาวุธและเป็นฐานปฏิบัติการ เป็นเพียงการตอบโต้เชิงป้องกัน (Preemptive strike) เพื่อมิให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของคนไทยเท่านั้น ยังไม่ได้มีการรุกรานกัมพูชาแต่ประการใด

ทั้งนี้กองทัพไทยยังมิได้บุกเข้าไปในน่านฟ้า น่านน้ำของกัมพูชา หรืออาณาเขตของกัมพูชาเลย เพียงแต่ไทยเรารักษาดินแดนหรือพระราชอาณาเขตของไทยที่ถูกกัมพูชารุกรานและยึดครองไปทั้งสิ้น

สาม การป้องกันตนเอง (Self-defense) และการตอบโต้เชิงป้องกัน (Preemptive strike) สามารถข้ามไปปฏิบัติการในอาณาเขต (Territory) น่านฟ้า หรือน่านน้ำ ของกัมพูชาได้ทันที โดยอัตโนมัติหากเป็นการตอบโต้เชิงป้องกันหรือการป้องกันตนเองที่ได้สัดส่วน เช่น

หากกัมพูชาให้ทหารรับจ้างใช้โดรนก่อวินาศกรรมระเบิดกลางกรุงเทพมหานคร กองทัพอากาศไทยก็สามารถใช้เครื่องบินรบ Grippen เข้าโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชาให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในทันทีเช่นกัน โดยไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมีพระบรมราชโองการประกาศสงคราม

หรือหากกัมพูชาใช้ขีปนาวุธ PLH-03 ที่เป็นปืนใหญ่อัตตาจรเคลื่อนที่ได้ และมีระยะยิงกว่า 130 กิโลเมตรเข้ามาในเขตไทย ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้สูงมาก ไทยเองก็สามารถตอบโต้ได้ในทันทีอย่างรุนแรงเช่นกัน ถือว่าได้สัดส่วน

ดังที่กองทัพไทยได้ประกาศว่าพร้อมรบเข้าไปลึกและปฏิบัติการภายในกัมพูชาได้ในทันที หากมีความจำเป็น

ในความเห็นของเรา การป้องกันประเทศ ปกป้องชีวิตของประชาชนและพระราชอาณาเขต เป็นหน้าที่ของกองทัพไทยอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มาตรา 8 วงเล็บ หนึ่ง

“พิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและ
ภายในราชอาณาจักร ปราบปรามการกบฏและการจลาจล โดยจัดให้มีและใช้กำลังทหารตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามที่มีกฎหมายกำหนด”

กองทัพไทยสามารถรบและโจมตีกัมพูชาได้โดยไม่ต้องรั้งรอให้ผ่านการลงมติของรัฐสภาเพื่อประกาศสงครามก่อนแล้วจึงนำความขึ้นไปกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการประกาศสงครามแต่ประการใดไม่ ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ในการประกาศสงคราม

ในทางตรงกันข้าม หากมีความจำเป็นเพื่อป้องกันภัยจากภายนอกราชอาณาจักร กองทัพไทยหรือหน่วยทหารสามารถประกาศใช้กฎหมายเก่าแก่อันจำเป็นเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐอันเป็นที่สูงสุดคือกฎอัยการศึก(Martial law) ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457

“มาตรา 2 เมื่อเวลามีเหตุอันจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัย ซึ่งจะมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักรแล้ว จะได้มีประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้กฎอัยการศึกทุกมาตราหรือแต่บางมาตรา หรือข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งของมาตรา ตลอดจนการกำหนดเงื่อนไขแห่งการใช้บทบัญญัตินั้นบังคับในส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรหรือตลอดทั่วราชอาณาจักร และถ้าได้ประกาศใช้เมื่อใด หรือ ณ ที่ใดแล้ว บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใดๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับต้องระงับและใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน”

และ

“มาตรา 4 เมื่อมีสงครามหรือจลาจลขึ้น ณ แห่งใดให้ผู้บังคับบัญชาทหาร ณ ที่นั้น ซึ่งมีกำลังอยู่ใต้บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชาในป้อมหรือที่มั่นอย่างใดๆ ของทหารมีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึก เฉพาะในเขตอำนาจหน้าที่ของกองทหารนั้นได้แต่จะต้องรีบรายงานให้รัฐบาลทราบโดยเร็วที่สุด”


กำลังโหลดความคิดเห็น