(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/11/japans-no-longer-ambiguous-stance-on-taiwan/)
Japan’s no longer ambiguous stance on Taiwan
by Julian McBride
18/11/2025
แนวทางใหม่ของญี่ปุ่นย่อมต้องสร้างความเดือดดาลให้จีนอย่างแน่นอน เพราะมาถึงตอนนี้แดนมังกรต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแทรกแซงทั้งที่จะมาจากญี่ปุ่นและจากสหรัฐฯทั้งสองทางแล้ว
ท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ญี่ปุ่นได้ค่อยๆ ปรับปรุงยกระดับกำลังพลของกองกำลังป้องกันตนเอง (Japan Self-Defense Forces ใช้อักษรย่อว่า JSDF หมายถึงกองทัพญี่ปุ่นนั่นเอง -ผู้แปล) ของตน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ขณะเดียวกัน หลังจากอยู่ในความซบเซาชะงักงันมานานหลายทศวรรษ ไต้หวันก็กำลังให้ความสำคัญกับการป้องกันตนเองอย่างจริงจัง สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในขณะที่กองทัพจีนกำลังพัฒนาขีดความสามารถของตน ซึ่งอาจนำไปใช้สู้รบกับเกาะปกครองตนเอง (แต่แดนมังกรถือเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน และจะต้องนำมารวมชาติในที่สุด) แห่งนี้ในอนาคต
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่น ได้แถลงเน้นย้ำว่า ถ้าหากจีนใช้กำลังทหารใดๆ ก็ตามทีเพื่อเล่นงานโจมตีไต้หวันแล้ว จะถูกพิจารณาว่าเป็น “สถานการณ์ที่กำลังคุกคามความอยู่รอด” ของญี่ปุ่น ซึ่งเร่งรัดให้โตเกียวพิจารณานำเอากลไกป้องกันของตนเองออกมาใช้งาน
เมื่อดูกันในแง่ของการป้องกันและอธิปไตยของไทเปแล้ว จุดยืนปี 2025 ของโตเกียว ที่ ทาคาอิจิ ประกาศออกมาในครั้งนี้ มีขอบเขตครอบคลุมที่กว้างขวางยิ่งกว่าพวกตัวแสดงในระดับภูมิภาครายอื่นๆ ได้เคยแถลงกันออกมา อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะกระทบกระเทือนยุทธศาสตร์แห่งการใช้อำนาจบังคับและการซ้อมรบทางทะเลอย่างก้าวร้าวของปักกิ่ง
จุดยืนใหม่ของญี่ปุ่นในเรื่องไต้หวัน
จุดยืนของญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยคลุมเครือกำกวม เวลานี้มีความเปิดเผยชัดเจนแล้ว นั่นคือ การโจมตีเล่นงานไต้หวันจะถูกถือว่าเป็นการโจมตีเล่นงานใส่ผลประโยชน์ทางทะเล, ทางเศรษฐกิจ, และทางด้านความมั่นคงของญี่ปุ่น
ระหว่างเข้าร่วมการประชุมหารือของคณะกรรมาธิการงบประมาณของสภาล่างญี่ปุ่นในวันที่ 7 พฤศจิกายนดังกล่าว ทาคาอิจิ ได้อธิบายว่าการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ของเธอเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในขอบเขตกว้างขวางยิ่งกว่านี้ ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับแนวคิดของบรรดานายกรัฐมนตรีพรรคลิเบอรัล เดโมเครติก ปาร์ตี้ (Liberal Democratic Party ใช้อักษรย่อว่า LDP) ของเธอคนก่อนๆ เป็นต้นว่า ชินโซ อาะเบะ ที่บัดนี้ล่วงลับไปแล้ว ผู้ซึ่งได้ผลักดันนำเอาความคิดเกี่ยวกับการป้องกันตนเองร่วมกันกับชาติอื่นๆ (collective self-defense) มาใช้ เมื่อปี 2015
อย่างไรก็ดี ตามรายงานของหนังสือพิมพ์อาซาฮี (Asahi) จุดยืนนี้ของ ทาคาอิจิ ยังคงมีความแตกต่างจากของอาเบะ เนื่องจากอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับไม่เคยเน้นย้ำแบบชัดเจนเลยว่า การรุกรานไต้หวันหรือการปิดล้อมไต้หวัน จะถูกถือว่าเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นสมควรต้องดำเนินการตอบโต้ทางการทหาร
ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นไม่ได้มีความชัดเจนในเรื่องที่ว่าจะเข้าแทรกแซงหรือไม่ หากไต้หวันตกอยู่ใต้การบีบคั้นทางทหารจากจีน ขณะที่ในกรณีพิเศษเจาะจงซึ่งกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ทำการปิดล้อมทางทหารต่อไต้หวันแล้ว ญี่ปุ่นจะพิจารณาว่าเป็นการเกิดฉากทัศน์ยามสงครามขึ้นมา ซึ่งหมายความว่า กองกำลังป้องกันตนเองจะดำเนินการตอบโต้ด้วยมาตรการต่างๆ หลายหลาก
กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น (Japan Maritime Self-Defense Force ใช้อักษรย่อว่า JMSDF หรือก็คือ กองทัพเรือญี่ปุ่น -ผู้แปล) จะได้รับมอบหมายภารกิจให้ดำเนินการอพยพบรรดาพลเมืองชาวญี่ปุ่น และบุคลากรที่ทรงความสำคัญยิ่งของไต้หวัน เป็นต้นว่า สมาชิกรัฐสภาไต้หวัน ตลอดผู้มีความคิดเห็นต่างจากรัฐบาลคนสำคัญๆ และถ้าหากเรือรบของจีนข่มขู่คุกคามการอพยพดังกล่าวนี้ กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลก็อาจดำเนินการตอบโต้ทางทหารด้วยกำลังที่เหมาะสม
ในทำนองเดียวกัน ถ้าสาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินการปิดล้อมไต้หวัน ญี่ปุ่นก็จะเปิดทางให้กองกำลังสหรัฐฯปฏิบัติการในพื้นที่ทางทะเลของตน พร้อมกับที่ดำเนินการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงและการจัดหาจัดส่งข่าวกรองรูปแบบต่างๆ
จีนตอบโต้ผลักดันกลับ
ปักกิ่งได้ออกมาตอบโต้อย่างแข็งขันต่อการแสดงความเห็นในคราวนี้ของ ทาคาอิจิ กระทั่งกลายเป็นการคัดค้านแสดงความไม่พอใจทางการทูตอย่างหนักแน่นดุเดือด เพียงไม่นานหลังจากคำพูดของเธอถูกนำออกมาเผยแพร่ เซี่ว์ย เจียน (Xue Jian) กงสุลใหญ่จีนประจำเมืองโอซากา ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม ทวิตเตอร์/เอ็กซ์ ในทำนองข่มขู่ที่จะตัดศีรษะของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้นี้ ถึงแม้เวลานี้ข้อความดังกล่าวนี้ได้ถูกลบทิ้งไปแล้วในเวลาต่อมาก็ตามที
จีนยังได้เรียก เคนจิ คานาซูงิ (Kenji Kanasugi) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงปักกิ่งมารับหนังสือประท้วง เพื่อแสดงการตอบโต้คัดค้านจุดยืนของ ทาคาอิจิ พร้อมกันนั้นกระทรวงการต่างประเทศจีนยังเตือนญี่ปุ่นให้ “ยุติการเล่นกับไฟ” และกล่าวว่าปักกิ่งจะมองเรื่องที่ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงในไต้หวันนี้ว่า เป็น “พฤติการณ์ก้าวร้าวรุกราน” เวลาต่อมา รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ก็เรียก คานาซูงิ เข้าพบเช่นกัน เพื่อเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนคำพูดแสดงความเห็นดังกล่าวของ ทาคาอิจิ ทว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นผู้นี้ปฏิเสธ
ในวันที่ 14 พฤศจิกายน กระทรวงกลาโหมของจีนได้ทำให้เรื่องขยายตัวบานปลายออกไปอีก ด้วยการข่มขู่คุกคามเพิ่มมากขึ้นแม้ด้วยอาการอันซ่อนเร้น โดยระบุว่าญี่ปุ่นจะต้องเจ็บปวดจาก “ความพ่ายแพ้แบบถูกบดขยี้” ถ้าหากกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นขืนแทรกแซงเข้าไปในสงครามที่อาจเกิดขึ้นกับไต้หวัน ทั้งนี้ในปัจจุบัน ไม่ว่าปักกิ่งหรือโตเกียวต่างกำลังขยายสมรรถนะทางทหารของฝ่ายตนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผ่านทางการปรับปรุงยกระดับกองทัพเรือ, กองทัพอากาศ, ขีปนาวุธความแม่นยำสูง, และเทคโนโลยี
ทางด้านพรรค LDP ที่เป็นแกนนำคณะรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของญี่ปุ่น ก็มีรายงานว่ากำลังตระเตรียมข้อเสนอแนะต่างๆ ที่อาจกระทำได้ เพื่อตอบโต้การข่มขู่คุกคามของจีน ในนี้ก็รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่จะขับไล่กงสุลใหญ่จีนประจำโอซากาในฐานะบุคคลผู้ไม่พึงปรารถนา เวลาเดียวกันพรรคการเมืองญี่ปุ่นอื่นๆ ต่างพากันประณามถ้อยคำโวหารชวนปวดแสบปวดร้อนของปักกิ่ง โดยมองว่าเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างกันในอนาคต
สำหรับสหรัฐฯ ได้แสดงความสนับสนุนญี่ปุ่น และประณามจีนว่ากระทำการยั่วยุต่างๆ ที่พุ่งตรงไปที่แดนอาทิตย์อุทัยผู้เป็นพันธมิตรสนิทของตน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำญี่ปุ่น จอร์จ กราสส์ (George Glass) พยายามขบคิดคำเด็ดๆ ออกมาโจมตีจีน โดยเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้ว่า เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการทูตแบบมุ่งใช้อำนาจบังคับของปักกิ่ง รวมทั้งกล่าวโจมตีแดนมังกรว่า “หน้ากากที่อำพรางใบหน้าไว้ ได้ลื่นหลุดออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
เขาวิจารณ์ต่อไปอีกเกี่ยวกับแบบแผนวิธีการทางการทูตของจีน โดยระบุว่า “ถึงเวลาสำหรับปักกิ่งที่จะประพฤติตัวเหมือนกับเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งพวกเขาชอบพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กลับล้มเหลวไม่สามารถทำตัวเช่นนั้นได้”
ความกังวลของญี่ปุ่น
เกาะไต้หวันนั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของหมู่เกาะญี่ปุ่น รวมทั้งอยู่ประชิดกับเส้นทางเดินเรือทะเลสำคัญๆ ถ้าหากอธิปไตย (sovereignty) ของไต้หวัน (คำๆ นี้เป็นคำของผู้เขียน - จูเลียน แมคไบรด์เอง เพราะจริงๆ แล้วจีนนั้นไม่ยอมรับว่าไต้หวันมีอธิปไตยของตนเองอยู่แล้ว ขณะที่ญี่ปุ่นหรือแม้กระทั่งสหรัฐฯ ก็ไม่กล้าใช้คำนี้โดยเปิดเผย เนื่องจากได้ประกาศยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน -ผู้แปล) ถูกคุกคามด้วยการปิดล้อมทางทหารของจีนแล้ว ญี่ปุ่นก็จะเผชิญกับภัยคุกคามต่อการดำรงคงอยู่ทางเศรษฐกิจของตนเช่นกัน ญี่ปุ่นนั้นกำลังต้องต่อสู้ดิ้นรนกับปัญหายากลำบากต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิกฤตทางประชากรที่ทำให้สังคมแดนอาทิตย์อุทัยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ, ค่าจ้างแรงงานที่สะดุดแทบจะแน่นิ่งมายาวนาน, และยอดหนี้สินแห่งชาติซึ่งขยับสูงลิบลิ่วขึ้นไม่หยุดหย่อน โดยที่การนำเข้าและการส่งออกของญี่ปุ่น ที่เป็นเส้นชีวิตสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของแดนอาทิตย์อุทัย โดยมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องขนส่งผ่านเส้นทางเดินเรือสมุทร
ประการที่สอง ถ้าหากจีนมีอำนาจครอบงำรอบๆ ช่องแคบไต้หวัน หรือว่าไทเปยินยอมทำตามปักกิ่งอย่างราบคาบ มันก็จะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายมากสำหรับยุทธศาสตร์การปิดล้อมกีดกั้นจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ซึ่งญี่ปุ่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินแผนการนี้ด้วย ในยุทธศาสตร์ดังกล่าว ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “แนวห่วงโซ่เกาะชั้นที่หนึ่ง (First Island Chain ซึ่งเป็นการลากเส้นเชื่อมระหว่างเกาะต่างๆ ที่อยู่รายรอบใกล้ๆ จีนแผ่นดินใหญ่) ที่มุ่งหมายจะปฏิเสธไม่ยอมให้เรือดำน้ำนิวเคลียร์ของจีนมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหวในอาณาบริเวณดังกล่าวนี้
ถ้าไต้หวันถูกปิดล้อมและต้องยอมสยบแล้ว การแหวกทะลุผ่านออกไปของกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนก็จะเกิดขึ้น จากนั้นปักกิ่งก็อาจสามารถคุกคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญยิ่งยวดของโตเกียวในฟิลิปปินส์และทะเลจีนใต้ อันที่จริง การที่กองทัพเรือจีนมีขีดความสามารถเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็คือปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดสัญญาทางกลาโหมฉบับใหม่ระหว่างฟิลิปปินส์กับญี่ปุ่น โดยที่สัญญาฉบับนี้กลายเป็นรูปเป็นร่างอันหนักแน่นในเดือนกันยายน 2025 ที่ผ่านมา
ยิ่งกว่านั้น โตเกียวยังจะต้องยอมรับภัยคุกคามการดำรงคงอยู่ที่มาจากปักกิ่ง ซึ่งมีต่อพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Economic Exclusion Zone ใช้อักษรย่อว่า EEZ) ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณรอบๆ หมู่เกาะเซงกากุ (Senkaku Islands จีนซึ่งเรียกชื่อหมู่เกาะนี้ว่า เตี้ยวอี๋ว์ Diaoyuได้อ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะนี้ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลจีนตะวันออกเช่นกัน -ผู้แปล) หากไทเปยอมจำนนเสียแล้ว ปักกิ่งก็อาจยิ่งสามารถจัดสรรทรัพยากรทางนาวีอย่างมากมายยิ่งขึ้นมายังทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ เพื่อบีบบังคับโตเกียวให้ตกอยู่ในสภาพของการถูกใช้อำนาจบังคับในทางเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์ที่จีนใช้ในเวลาเล่นเกมสงคราม
การที่จีนจะเข้ารุกรานโดยตรงหรือทำการปิดล้อมไต้หวันได้ จำเป็นจะต้องใช้ทรัพย์สินสะเทินน้ำสะเทินบก และทรัพย์สินทางอากาศ ขนาดใหญ่โตมโหฬารมากชนิดซึ่งทำให้การยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดี, ฝรั่งเศส ของกองทหารฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวัน ดีเดย์ (D Day) กลายเป็นเรื่องต่ำชั้นไปเลย เนื่องจากฉากทัศน์ความเป็นไปได้เช่นนี้ หมายความว่าจีนจำเป็นจะต้องระดมกำลังทรัพยากรทุกๆ อย่างที่สามารถรวบรวมได้เข้ามา โดยปราศจากการสะดุดติดขัดหรือถูกหันเหให้ต้องนำเอาทรัพย์สินด้านกลาโหมออกไปใช้ยังยุทธบริเวณสำคัญยิ่งยวดแห่งอื่นๆ ซึ่งตรงนี้แหละที่แผนการฉุกเฉินที่ญี่ปุ่นประกาศออกมาโดยเปิดเผยหมาดๆ นี้แหละ สามารถกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางแผนการของแดนมังกรได้
กองทัพเรือจีนกำลังมีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะเข้ามาแทรกแซง ถึงแม้ว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯที่มีต่อความมั่นคงของไต้หวันจะยังคงอยู่ในสภาพกำกวมคลุมเครือ ทว่าประเด็นเรื่องไต้หวันก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อยุทธศาสตร์ในอินโด-แปซิฟิกของวอชิงตัน และผลประโยชน์ต่างๆ ในทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม มาถึงเวลานี้กองทัพเรือจีนจะต้องพิจารณาถึงการที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันด้วย ดังที่ได้ระบุเอาไว้ข้างต้นนี้ กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น จะเข้าร่วมในการอพยพพลเมืองชาวญี่ปุ่นและพวกเจ้าหน้าที่คนสำคัญๆ ของไต้หวัน รวมทั้งพวกนักการเมืองและนักเคลื่อนไหว ทว่ามันยังไม่ได้หมดสิ้นลงเพียงเท่านี้ โตเกียวยังสามารถใช้กำลังนาวีของตนไปในทางอื่นๆ เพื่อต่อต้านกองทัพเรือจีน
แผนการอย่างหนึ่งของสหรัฐฯที่ใช้อยู่ในเวลาฝึกเล่นเกมสงคราม ได้แก่การเข้าสกัดกั้นพลังงานนำเข้าของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ขนส่งผ่านทางช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ เพื่อบังคับปักกิ่งให้ต้องถอนตัวออกจากการโจมตีเล่นงานไทเป กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น ย่อมสามารถที่จะเข้าร่วมในการปิดล้อมทางเศรษฐกิจรอบๆ พื้นที่เหล่านี้ได้ ถ้าหากมีการตีความว่าภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นกับไต้หวัน ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางทะเลและทางเศรษฐกิจของโตเกียวเอง
กระทั่งถ้าหากสหรัฐฯตัดสินใจไม่เข้าแทรกแซงในภาวะฉุกเฉินที่เกิดกับไต้หวัน สืบเนื่องจากพลังสนับสนุนที่กำลังเพิ่มมากขึ้นภายในอเมริกาเอง ให้วอชิงตันหันมาใช้ลัทธิอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก (isolationism) ขณะที่ญี่ปุ่นยังคงตัดสินใจลงมือปฏิบัติการอย่างฉับพลันทันที จีนก็ยังจะต้องเผชิญสถานการณ์อิหลักอิเหลื่ออันยากลำบากอยู่ดี โดยที่จีนจะต้องหวั่นกลัวว่าการปฏิบัติการของญี่ปุ่นอาจกลายเป็นตัวก่อปฏิกิริยาให้สหรัฐฯตัดสินใจหันมาเข้าร่วมพัวพันด้วย
ปัจจุบันมีบุคลาการทางทหารของอเมริกันมากกว่า 55,000 นายกำลังประจำการอยู่ในญี่ปุ่น (นั่นคือ กองบัญชาการทหารสหรัฐฯในญี่ปุ่น United States Forces Japan ใช้อักษรย่อว่า USFJ) ระหว่างสหรัฐฯกับกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น มีการฝึก, การร่วมมือประสานงาน, การส่งกำลังบำรุง, และการแลกเปลี่ยนแบ่งปันข่าวกรอง กันเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าจีนเข้าโจมตีพวกฐานทัพของกองกำลังป้องกันตนเองในระหว่างที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นที่ไต้หวัน มันก็มีความเสี่ยงที่จะโจมตีถูกกองกำลังสหรัฐฯในญี่ปุ่น ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม เรื่องเช่นนี้อาจสามารถดึงเอาอเมริกาผู้ยังคงแสดงท่าทีกำกวมคลุมเครือ เข้าสู่สงครามได้ในทันที
การทวีความรุนแรงทั้งทางการทูตและในแบบไฮบริด
ปักกิ่งน่าจะออกแรงบีบคั้นโตเกียวต่อไปอีก เพื่อให้กลับลำนโยบายไต้หวันของพวกเขาด้วยการใช้เครื่องมือต่างๆ หลายหลาก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จีนได้ออกคำแนะนำถึงพลเมืองของตนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้อาจส่งผลทำให้การท่องเที่ยวลดลงฮวบฮาบ รวมทั้งจำกัดโอกาสในการทำงานของคนจีนที่พำนักอาศัยอยู่ในต่างแดน อย่างไรก็ดี นโยบายนี้ก็อาจทำให้ภาวะขาดแคลนแรงงานของญี่ปุ่นยิ่งเลวร้ายลงเช่นกัน เนื่องจากแดนอาทิตย์อุทัยในปัจจุบันกำลังต้องพึ่งพาอาศัยแรงงานชาวจีนเป็นบางส่วน
มาตรการต่างๆ ที่ปักกิ่งนำมาใช้อาจสร้างความกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แต่ก็จะเป็นการเพิ่มความสนับสนุนภายในประเทศที่แข็งแรงยิ่งขึ้นให้แก่นายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเช่นกัน ในขณะที่อัตราส่วนการยอมรับผลงานของเธอในหมู่ประชาชนผู้ออกเสียงชาวญี่ปุ่นเวลานี้ ก็อยู่ในหมู่นายกรัฐมนตรีผู้ได้รับคะแนนนิยมสูงที่สุดภายหลังจากคณะบริหารของชินโซ อาเบะ อยู่แล้ว
ตามรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นสาธารณชนของสำนักข่าวเกียวโด ยังระบุว่า 48% ของชาวเน็ตญี่ปุ่นบอกว่าสนับสนุนการป้องกันร่วมในกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นในไต้หวัน คะแนนระดับนี้ถือว่าสูงสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งอาจส่งผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วนความยอมรับในผลงานของ ทาคาอิจิ ให้มากขึ้นอีก
ปักกิ่งยังอาจหาทางเพิ่มแรงกดดันต่อสังคมชาวญี่ปุ่น เพื่อเร่งรัดให้ ทาคาอิจิ และรัฐสภาญี่ปุ่นต้องหวนกลับพิจารณานโยบายของพวกเตนเสียใหม่ โดยมีความเป็นไปด้อย่างมากที่จะใช้วิธีการเพิ่มกิจกรรมต่างๆ ทางทะเลในบริเวณใกล้ๆ หมู่เกาะริวกิว (Ryukyu Islands) ของญี่ปุ่นให้มากขึ้น ด้วยการใช้ข้ออ้างบังหน้าว่า มันเป็นกิจกรรมของ “พวกเรือประมง” หรือไม่ก็หันมาใช้ยุทธวิธีจัดส่งเรือยามฝั่งของหน่วยยามฝั่งจีนเข้าไป โดยที่ยุทธวิธีทำนองเดียวกันนี้ แดนมังกรก็กำลังใช้อยู่ในการต่อกรกับฟิลิปปินส์และเวียดนาม
จีนยังอาจจะหาทางใช้ประโยชน์จากพวกตัวแทน อย่างเช่น เกาหลีเหนือ ด้วยการยิงทดสอบขีปนาวุธให้เคลื่อนผ่านฟากฟ้าเหนือทะเลญี่ปุ่น ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะสามารถใช้ทดสอบความคิดจิตใจและความทรหดอดทนของรัฐบาลญี่ปุ่นได้อีกด้วย ทั้งนี้ที่ผ่านมามีความหวั่นเกรงกันว่า ปักกิ่งจะใช้เปียงยางเป็นตัวแทนในการเล่นงานกองบัญชาการทางนาวีเฉพาะกิจที่เกาะเจจู (Jeju Island) ซึ่งกำลังมีการปรับปรุงขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ และโตเกียวก็ควรคาดหมายว่าจะเจอกับยุทธวิธีแบบไฮบริดอย่างเดียวกันนี้
ท้ายที่สุดแล้ว สำนักงานข่าวกรองความมั่นคงสาธารณะ (Public Security Intelligence Agency หรือ PSIA) ของญี่ปุ่น จะต้องตั้งอยู่ในความระวังระไวอย่างสูงเพื่อรับมือกับพวกพฤติการณ์กระทำจารกรรมและการบ่อนทำลาย ถ้าหากความตึงเครียดที่มีอยู่กับจีนยังคงขยายตัวบานปลายต่อไปอีก ไต้หวันเองนั้นกำลังต้องรับมือกับพวกที่อาจจะเป็นสายลับจีนจำนวนเป็นพันๆ หมื่นๆ คน ซึ่งอาจจะก่อเหตุแบบการทำสงครามไฮบริดขึ้นบนเกาะแห่งนี้ เพื่อเปิดทางสะดวกให้แก่การรุกราน ในทำนองเดียวกัน ภัยคุกคามที่พวกโครงสร้างพื้นฐานอันสำคัญยิ่งยวด โดยรวมไปพวกสายเคเบิลใต้ทะเลด้วย อาจถูกทำให้เสียหายใช้การไม่ได้ ก็เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับญี่ปุ่น ณ ช่วงเวลาที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนขึ้นมา
ทาคาอิจิ และรัฐสภาญี่ปุ่น เวลานี้ต้องเผชิญกับการท้าทายทางนโยบายการต่างประเทศที่ทรงความสำคัญยิ่งยวด จากการที่นายกฯหญิงผู้นี้กล่าวพาดพิงถึงสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินเร่งด่วนในไต้หวัน ในการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จีนอาจจะใช้ทั้งพวกยุทธวิธีสงครามไฮบริด, มาตรการทางเศรษฐกิจ, และการรณรงค์แพร่กระจายข้อมูลอันเป็นเท็จ แต่จากจุดยืนใหม่ในเวลานี้ของญี่ปุ่น ก็เรียกร้องปักกิ่งให้ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้สำหรับความเป็นไปได้ที่จะถูกแทรกแซงจากสองด้าน นั่นคือ ทั้งจากญี่ปุ่นและจากสหรัฐอเมริกา
จูเลียน แมคไบรด์ เป็นนักวิเคราะห์ทางด้านกลาโหม และเป็นบรรณาธิการผู้ร่วมเขียนเรื่องให้แก่ 19FortyFive นิตยสารด้านกลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติที่ตั้งสำนักงานอยู่ในสหรัฐฯ


