xs
xsm
sm
md
lg

เส้นทางของพรรคประชาชน กับอุดมการณ์ที่พุ่งชนกำแพง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

“เราพร้อมที่จะบริหารประเทศ” คำประกาศของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ในการให้สัมภาษณ์ TIME คือเสียงสะท้อนของพรรคประชาชนที่ยังคงเดินบนเส้นทางอุดมการณ์ก้าวหน้า เขาพูดชัดว่า พรรคประชาชนต้องการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมย้ำว่า “ปัญหาหลักยังคงเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน เราต้องนำประชาธิปไตยเต็มใบกลับคืนมา”  
เส้นทางนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นการสืบทอดอุดมการณ์มาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2561 ที่ตั้งเป้า รื้อโครงสร้างอำนาจของรัฐ ออกจากมือกองทัพ ศาล และองค์กรอิสระที่ชนชั้นนำใช้สืบทอดอำนาจ พรรคก้าวไกลในเวลาต่อมาก็สานต่อแนวทางนี้ และวันนี้พรรคประชาชนยังเดินในทิศทางเดิม 

จุดยืนหลักคือ ปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร,แก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ,ท้าชนทุนผูกขาด เศรษฐกิจไม่ถูกผูกไว้กับกลุ่มใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด คือการผลักดันแก้ไข มาตรา 112 รวมถึงแนวคิดในการท้าทายสถาบันดั้งเดิม ทั้งในเชิงการปกครอง(กองทัพ,ศาล,องค์กรอิสระ) และในเชิงสังคมวัฒนธรรม โดยตั้งคำถามต่อบทบาทของสถาบันหลักของไทย โดยมุ่งหวังจะลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ลงมา ทั้งที่สถาบันกษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง

อุดมการณ์เช่นนี้สะท้อนออกมาชัดในถ้อยคำของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ก่อตั้งอนาคตใหม่และยังคงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของขบวนการก้าวหน้า “อนาคตใหม่ไม่ใช่พรรคของผม แต่เป็นพรรคของคนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง” ประโยคนี้กลายเป็นธงนำที่ปลุกคนรุ่นใหม่ “ประชาชนต้องได้อำนาจกลับคืน” คือวลีที่ท้าทายต่อรัฐไทยที่พวกเขามองว่าถูกครอบงำจากอำนาจเก่า และ “หากเราไม่สู้วันนี้ วันหน้าก็จะไม่มีใครเหลือที่จะสู้” สะท้อนความเชื่อว่าการต่อสู้จำเป็นต้องเกิดขึ้นแม้รู้ว่าจะเจออุปสรรคเพียงใด

ผมเคยเขียนไว้หลายครั้งในบทความว่า ธนาธร ไม่เพียงเป็นนักการเมือง แต่คือ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ของฝ่ายก้าวหน้า และเป็น “เจ้าของพรรคตัวจริง” เพราะแม้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่เครือข่ายยังทำงานอย่างเป็นระบบ ขณะที่  ปิยบุตร แสงกนกกุล คือ มันสมองและผู้นำทางความคิด ผู้หล่อเลี้ยงทฤษฎีและวาทกรรม  เช่น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” หรือการรื้อโครงสร้าง ส.ว. แม้จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่บทความและการบรรยายของเขายังเป็น “เชื้อไฟทางความคิด” ที่หล่อเลี้ยงพรรคประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้

ไม่แปลกที่ ณัฐพงษ์ หรือ “เท้ง” จะสืบทอดจุดยืนแข็งกร้าวนี้ โดยเฉพาะ มาตรา 112 ที่เขายืนยันกับ TIME ว่าเป็นปัญหาใหญ่และต้องได้รับการแก้ไข แม้จะอ้างว่าทำให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่แก่นแท้คือการท้าชนกับ establishment แบบไม่ลดทอน

แต่บทเรียนก็ยังสดใหม่ การยึดมั่นในเรื่อง 112 ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กลายเป็นเพียง “The Almost Prime Minister” ทั้งที่ก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ได้เสียงอันดับหนึ่ง แต่ติดกำแพงวุฒิสภาและโครงสร้างรัฐธรรมนูญ นักวิชาการและผู้สังเกตการณ์ รวมถึงผมเอง เคยวิจารณ์ว่านี่คือความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ของพรรคฝ่ายก้าวหน้า ที่เลือกชนเต็มที่โดยไม่เผื่อทางประนีประนอม สุดท้ายได้เพียงชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่ได้อำนาจจริง 
 
วันนี้พรรคประชาชนยังเลือกเดินเส้นทางเดิม ใช้ดีลการเมืองเฉพาะหน้า เช่น MOA 5 ข้อกับภูมิใจไทย เพื่อโหวตให้อนุทิน ชาญวีรกุล เป็นนายกฯ แลกกับการแก้รัฐธรรมนูญภายใน 4 เดือน แต่ในความจริง นี่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญปิดประตูไม่ให้มี ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และวุฒิสภาก็ไม่มีวันโหวตตัดอำนาจตนเอง ข้อตกลงนี้จึงไม่ต่างจากการสร้างมายาคติว่าพรรคยังผลักดันได้ ทั้งที่ทางปฏิบัติแทบไม่ขยับ ถึงตอนนั้นพรรคภูมิใจไทยก็ต้องแสร้งเป็นเล่นบทบาทว่าวุฒิสภาไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคที่จะไปสั่งการได้


ในเชิงรัฐศาสตร์ นี่คือการ แยก “อำนาจ” ออกจาก “ความรับผิดชอบ” พรรคประชาชนโหวตให้นายกฯ ตั้งรัฐบาล แต่ยังยืนยันเป็นฝ่ายค้าน นักรัฐศาสตร์บางคนเรียกว่า issue-based politics แต่กรณีไทยกลับกลายเป็นเรื่องย้อนแย้งที่สับสนในสถานะทางการเมือง

ไม่แปลกที่เสียงวิจารณ์จะถาโถมเข้ามา ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สาดคำแรงว่าพรรคประชาชนเล่นการเมืองแบบ “สองขา” อยากได้เครดิตจากการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่อยากรับผิดชอบในความล้มเหลวของรัฐบาล ผลลัพธ์คือประชาชนเองก็สับสน พรรคนี้คือฝ่ายค้านจริง ๆ หรือคือรัฐบาลในเงามืด?

ในมุมวิชาการ ศาสตราจารย์ไชยันต์ ไชยพรจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่า สิ่งที่ “แปลก” ไม่ใช่การที่พรรคประชาชนโหวตให้อนุทินแต่ไม่ร่วมรัฐบาล เพราะต่างประเทศก็มีแบบนั้น แต่ที่ต่างประเทศจะไม่เกิด คือการโหวตให้นายกฯ ตั้งรัฐบาลได้แล้ว วันแถลงนโยบายกลับมาเตรียม “ชำแหละ” กันในสภา เพราะระบบของไทยบังคับให้นายกฯ ต้องได้เสียงโหวตเกินครึ่งก่อนถึงจะรับโปรดเกล้าฯ ไม่เหมือนในอดีตที่แต่งตั้งก่อนแล้วค่อยมาลงคะแนนตอนแถลงนโยบาย กรณีอย่างรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ปี 2518 ที่ถูกโค่นตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มงานเพราะสภาไม่ไว้วางใจวันแถลงนโยบาย จึงไม่สามารถเกิดขึ้นภายใต้กติกาปัจจุบันอีกแล้ว การที่พรรคประชาชนประกาศจะชำแหละนโยบายรัฐบาลอนุทิน จึงเป็นเพียง การโชว์ของ ไม่มีผลทางรัฐธรรมนูญใด ๆ ต่อสถานะรัฐบาล

แต่มันจะเป็นเรื่องตลกไม่น้อยถ้าก่อนจะครบ 4 เดือนพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอนุทิน และสามารถเปิดแผลสดๆของรัฐบาลได้ ถึงตอนนั้นจะยุบสภาก็ไม่ได้ และถ้าพรรคเพื่อไทยมีข้อมูลหนักแน่นพรรคประชาชนจะยืนอยู่ในจุดไหนของสมการนี้ นั่นอาจหมายถึง MOA ล่มสลายไป และต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสมัยเลือกตั้งนี้

แม้พรรคประชาชนจะไม่เคยมีบาดแผลจากการเข้ามาบริหารประเทศ เหมือนกับพรรคการเมืองอื่น แต่อย่ามั่นใจว่า ชัยชนะครั้งที่แล้วจะยังเป็นเชื้อไฟที่ทำให้พรรคประชาชนชนะเลือกตั้งเป็นที่ 1 อีกครั้ง เพราะปัจจัยทางการเมืองหลายอย่างเปลี่ยนไป แม้แต่ในพรรคประชาชนเอง หัวหน้าพรรคอย่างณัฐพงษ์ก็ไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพิสูจน์แล้วว่าส.ส.หลายคนของพรรคแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเป็นเพียงไม้ประดับ หลายคนไม่มีคุณภาพที่ประชาชนไปเลือกเพราะพรรคโดยไม่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติ เมื่อเทียบเปอร์เซ็นต์ก็คนที่พอจะมีของบ้างซึ่งมีไม่กี่คนจากจำนวนส.ส.ทั้งหมดของพรรค

*แรงหนุนที่เคยเกิดขึ้นเพราะกระแส “เบื่อลุง” และการต่อต้านทหารก็กำลังหายไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก้าวลงจากเวทีแล้ว ขณะเดียวกัน กองทัพกลับรีแบรนด์ตัวเองใหม่ แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษชายแดนจากเหตุปะทะไทย–กัมพูชา ทหารยังเข้าไปถึงมหาวิทยาลัยที่เคยเป็นฐานของพรรคฝ่ายก้าวหน้า ทำให้กำแพงต่อต้านทหารถูกบั่นทอนลงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

และที่สำคัญ การเลือกตั้งครั้งก่อน ฝ่ายอนุรักษ์นิยมแพ้เพราะเสียงแตกเป็นหลายพรรค แต่วันนี้ภาพเปลี่ยนไป พรรคประชาธิปัตย์อ่อนแรง พลังประชารัฐทรุด รวมไทยสร้างชาติแทบไร้อนาคต เหลือแต่ ภูมิใจไทย ที่ยังยืนอยู่ และมีโอกาสดูดซับฐานเสียงอนุรักษ์นิยมที่เคยกระจัดกระจายให้มารวมศูนย์ หากเป็นเช่นนั้นจริง ภูมิใจไทยอาจกลายเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมหลักที่มีพลังพอจะท้าทายพรรคประชาชนโดยตรง โดยมีแรงหนุนจากกระแสฝ่ายขวาที่กำลังมาแรงทั่วโลก

แม้พรรคภูมิใจไทยจะไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมพันธุ์แท้ แต่เป็นเพียงพรรคที่คอยฉกฉวยโอกาสเพื่อจะเป็นรัฐบาล แต่มวลชนของฝ่ายอนุรักษนิยมก็แทบจะไม่มีทางเลือกอื่น พรรคภูมิใจไทยจึงกลายเป็นพรรคเนื้อหอมที่อดีตส.ส.และบ้านใหญ่ในจังหวัดต่างๆ หันมาใช้เป็นที่พักพิง และอาจเป็นไปได้ว่า พรรคภูมิใจไทยจะล้มพรรคประชาธิปัตย์ลงในภาคใต้ที่ผูกขาดมาเกือบร้อยปีได้สำเร็จ

พรรคประชาชนคือการสืบทอดอุดมการณ์จากอนาคตใหม่ ธนาธรคือผู้นำทางจิตวิญญาณ ปิยบุตรคือมันสมอง และณัฐพงษ์คือผู้ถือธงในสนามเลือกตั้ง จุดยืนแข็งกร้าวต่อมาตรา 112 และ establishment ทำให้พรรคแตกต่าง แต่ก็ทำให้ไปไม่ถึงอำนาจ

บทเรียนจากพิธายังเตือนอยู่ว่า อุดมการณ์ที่แข็งกร้าวโดยไม่เลือกจังหวะ จะทำให้พรรคได้เพียงชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ แต่ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอำนาจบริหารจริง และวันนี้ เมื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยมกำลังรวมศูนย์ที่ภูมิใจไทย ขณะที่กระแสฝ่ายขวาแผ่ขึ้นทั่วโลก พรรคประชาชนอาจกำลังเดินสู่ชะตากรรม “ฝ่ายค้านถาวร” แข็งแรงในวาทกรรม แต่ไร้น้ำหนักในอำนาจรัฐ

อุดมการณ์ยังสวยงาม แต่การเมืองต้องการมากกว่าคำสัญญา ต้องการศิลปะในการแปลงอุดมการณ์ให้เป็นอำนาจที่จับต้องได้จริง และนี่คือคำถามใหญ่ที่พรรคประชาชนยังไม่มีคำตอบ หรือว่าพวกเขาจะเอาหัวพุ่งชนกำแพงอย่างท้าทายต่อไป
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น