ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ "ทิดจอร์จ" เอวัง เพราะ “กลุ่มนารีบ้านดำ" เมื่อ “หมอบี” สะกดวิญญาณ "กิ๊กเบอร์4" ไม่อยู่ จึงโป๊ะแตก! "บิ๊กเต่า" เปิดเบื้องหลัง "อลงกตการละคร"
ยิ่งกว่าละคร ก็กรณีอดีตพระอลงกต ที่ชีวิตเปลี่ยนจาก “เทพเอดส์” สู่ผู้ต้องหาต้องนอนคุกแทนจำวัด...แบบเอวังด้วยประการฉะนี้
สังคมที่เฝ้าติดตามข่าว สงสัยกันว่าปมเหตุที่ตอนแรกเหมือนจะเป็นเรื่องของ “เงินบริจาค” และความสัมพันธ์แบบ"ธุรกิจ" กับ “หมอบี” แต่ที่ "ทิดจอร์จ" ต้องพบจุดจบ “บิ๊กเต่า”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เฉลยว่า
เพราะ “หมอบี”บริหารจัดการรัก “นารี”ไม่ดี
ฟังว่า “หมอบี” ใช้วิธีสะกดวิญญาณ 3 คน ให้อยู่ด้วยกันใน “บ้านดำ” ด้วยการเขียนหนังสือ หรือระลึกชาติว่า ทั้งสามเป็นพี่น้องกัน
พอมาถึง "เบอร์4" กำลังจะเขยิบมาเข้า "บ้านดำ" แต่น่าจะโดนแรงเสียดทาน จึงทำให้มีปัญหากัน สุดท้ายจึงนำมาสู่การออกมาแฉ
เปิดเผยเรื่องราวขึ้นมา และตำรวจก็แกะรอยตามข้อมูล และ “เส้นทางการเงิน” แล้วก็ “โป๊ะแตก” อย่างที่เห็น
นี่เป็นถ้อยคำของ "บิ๊กเต่า" มือปราบจับสึกพระแห่งปีพ.ศ.นี้ โดยเจ้าตัวยังบอกว่า อยากจะเปิดปฏิบัติการนี้ โดยให้ชื่อว่า “อลงกตการละคร” ด้วยซ้ำ!
เพราะตัวปัญหาคือ อดีตพระอลงกต ถึงแม้จะทำความดี แต่สิ่งที่สร้างไม่ใช่กิจของสงฆ์เลยเถิด ซึ่งอลงกต เป็นผู้มีอำนาจคนเดียวในการสั่งมูลนิธิ และสั่งใช้เงินทั้งหมด
เรียกได้ว่า “อดีตพระอลงกต” คือ CEO ตัวจริงของวัดพระบาทน้ำพุ และ มูลนิธิ ทั้งหลาย
“บิ๊กเต่า” ยังบอกว่า วันที่จับกุม “อดีตพระอลงกต” สามารถเดินได้สะดวก สวนทางกับปกติที่จะนั่งวีลแชร์ เรื่องนี้สมควรใช้คำว่า “อลงกตการละคร”เพื่อตบตาเรียกเงินบริจาคนั่นละ
วันนี้ของ "ทิดจอร์จ" โดนข้อหายาวเป็นหางว่าว ซึ่งอยู่ในข่าย ยักยอกทรัพย์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ... ส่วน “หมอบี” เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ก็ถูกตั้งข้อหา ไม่ต่างกันนัก
“ทิดจอร์จ” ยอมเข้าเรือนจำไปแต่โดยดี ไม่ขอประกันตัว ส่วน “หมอบี” ยื่นขอประกันตัว แต่ศาลไม่อนุมัติ เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง มูลค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดมีมูลค่าสูง เจ้าหน้าที่คัดด้านการประกันตัว เกรงว่าจะหลบหนีและ ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ฟังว่า ตอนสอบปากคำ “อดีตพระอลงกต” ให้การว่าเรื่องนี้เป็นใหญ่สำหรับตนเอง จึงมีอาการเครียด แต่ก็ขอปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา และไม่ให้การในรายละเอียดในข้อหา โดยจะให้ทนายความ ทำคำให้การเป็นเอกสารมาให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน
เช่นเดียวกับ “หมอบี” ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเช่นกัน โดยอ้างว่า มีหลักฐานมาหักล้างการกระทำความผิด จากบัญชีที่เปิดรับบริจาค
มีรายงานว่า “ทิดจอร์จ” และ “หมอบี” ถูกคุมขังคนละห้องกัน และตั้งแต่เมื่อกลางดึกเมื่อคืนก่อนที่เข้ามา ทิดจอร์จ ได้นั่งสมาธิตลอด จนกระทั่งถึงเช้า ส่วน หมอบี นอนหลับพักผ่อน
สำหรับ “บ้านดำ” บ้านหมอบี มูลค่ากว่า 70 ล้าน ที่เป็นที่สนใจถูกขุดคุ้ย มีรายงานว่า “หมอบี” ได้โอนบ้านดำ และรถอีก 3 คัน ให้ “ทิดจอร์จ” ไปแล้ว แบบมีเงื่อนไข ว่าถ้าผู้รับตาย ทรัพย์สินดังกล่าวจะกลับมาเป็นของ หมอบี
ขณะที่ ข้อมูลของตำรวจระบุ "หมอบี” เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ และกระจายบางส่วนออกไปสู่คนใกล้ชิด โดยยืนยันว่า คนใกล้ชิดทั้งหมด เป็นผู้หญิง!!
งานนี้ร้อนถึง ทนายของหมอบี ต้องออกมาแจงแทนลูกความ โดยยืนยันว่า หมอบี มีครอบครัวเดียว ภรรยาก็เป็นคนดี ไม่มีเรื่องออกมาแฉแน่
ทนายเชื่อว่า เรื่องทั้งหมดมีคนสร้างหลักฐาน ทำให้เสียหาย ขอรอพิสูจน์ความจริง พร้อมงัดหลักฐานเด็ดเพื่อเปิดโปงให้หนาวกันไปข้าง
เมื่อทนายพูดออกมาแบบนี้ ก็ต้องรอดู ว่าจะมีทีเด็ดจริงหรือไม่!
ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องจะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่นั้น เบื้องต้น จากการสืบสวนและแกะข้อมูลของเจ้าหน้าที่ เห็นว่ามีบุคคลที่ใกล้ชิด 3-4 คน ของ “หมอบี” น่าจะต้องถูกเรียกมาสอบ
สำหรับกรณีของ “อดีตพระอลงกต” มีคนใกล้ชิดเป็นขบวน กว่า 30คน ตรวจสอบเส้นเงินสัมพันธ์ว่ามีเงินหมุนเวียนในเรื่องการเบิกถอน ซึ่งเชื่อว่าเงินน่าจะผ่านบัญชีวัด หลายพันล้านบาท!
ดังนั้น หากจะถามว่า คดีนี้จะมีหมายจับลอต 2 หรือไม่! ก็ต้องรอลุ้นว่าหวยจะออกที่ใคร?
++ หากอิ๊งค์ไม่รอด 5 แคนดิเดตนายกฯ ล้วนมีตำหนิ !
ถึงตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดี “คลิปเสียง” ที่นายกฯอิงค์ แพทองธาร ชินวัตร คุยกับ ฮุนเซน
มีรายงานข่าวออกมาแล้วว่า วันที่ 29 ส.ค.นี้ “แพทองธาร” จะไม่ไปศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะเข้าไปรอฟังคำตัดสินที่ทำเนียบรัฐบาล และก็มีการแจ้งไปยังบรรดา สส.ของพรรคเพื่อไทยแล้วว่า หลังเสร็จการประชุมสภาฯในวันพฤหัสฯ(28 ส.ค.) ก็อย่างเพิ่งกลับต่างจังหวัด ขอให้ไปรวมตัวกันที่ทำเนียบฯเพื่อเป็น “กองเชียร์” ให้กำลังใจนายกฯอิงค์ ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.ด้วย
ขณะที่ “กองแช่ง” ก็ว่าไม่รู้จะเป็นการไป “ให้กำลังใจ” หรือไป “ดูใจ” กันแน่!
ถ้า “แพทองธาร” รอด รัฐบาลก็เดินหน้าต่อ แต่เป็นการเดินหน้าแบบไม่ราบรื่นแล้ว เพราะประชาชนไม่เชื่อใจ ไม่เชื่อมือรัฐบาลนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดน ปัญหาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เปรียบให้เห็นง่ายๆ ว่า นอกจากประชาชนไม่เอาแล้ว “ตลาดหุ้น” เขาก็ไม่เอาด้วย
แต่ถ้า “แพทองธาร” ไม่รอด ก็ต้องมีการเลือกนายกฯกันใหม่ ซึ่ง “แคนดิเดตนายกฯ” ที่เหลือในตะกร้า ตอนนี้มี 5 คนคือ “ชัยเกษม นิติสิริ” จากพรรคเพื่อไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” จากพรรคภูมิใจไทย ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ มี 2 คน คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กับ “พีระพันธุ์ สาลรัฐวิภาค” และ อีกคนคือ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” จากพรรคประชาธิปัตย์
ใน 5 คนนี้ ถ้าจะไล่ตัดออกทีละคน คนแรกคือ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” เพราะขนาดพรรคยังรักษาไม่ได้ ถูกคนอื่นยึดไปแล้ว ตำแหน่งรัฐมนตรี ยังเป็นไม่ได้ ดังนั้นเลิกคิดไปเลยเรื่องตำแหน่งนายกฯ
คนต่อมา “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” แม้ตอนนี้จะเป็นรองนายกฯ ควบรมว.พลังงาน แต่วงในรู้กันดีว่า “นายทุนพรรค” ไม่ปลื้ม พยายามจะเอาออก แต่ติดที่ข้อบังคับพรรค นอกจากนั้นยังมีแผลที่ยังเคลียร์ไม่จบ ถูกยื่นให้ กกต.ตรวจสอบการถือหุ้นบริษัทในระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และยังถูกตรวจสอบเรื่องแจกถุงยังชีพช่วยน้ำท่วม ที่ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช.
ทั้งสองเรื่องนี้ ส่อว่าจะมีปัญหาขึ้นมาทันที ถ้ามีการเสนอชื่อขึ้นโหวตนายกฯ
ส่วน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนนี้เป็นองคมนตรี ถ้าจะมาเป็นนายกฯ ก็ต้องลาออกจากองคมนตรีก่อน ภาพความเป็นทหารของ “ลุงตู่” อาจจะถูกมองว่าน่าจะเข้ากับสถานการณ์ ที่ไทยกำลังมีปัญหากับกัมพูชา แต่พอนึกย้อนไปดูการบริหารในช่วง 8 ปี ที่ลุงตู่เป็นนายกฯ นักธุรกิจ และประชนจำนวนไม่น้อย ต่างก็ส่ายหัว
นอกจากนี้ วาระการดำรงตำแหน่งที่เหลือเพียงปีเศษ จะเป็นแรงจูงใจให้ “ลุงตู่” ลาออกจากองคมนตรีลงมาเล่นการเมืองอีกหรือ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่า ถ้าถึงเวลาเลือกตั้งใหม่ พรรคลุงตู่ ไม่มีทางชนะเลือกตั้งแน่
ที่สำคัญถ้า “ลุงตู่” ลงมา ก็เป็นอาหารอันโอชะของบรรดา พรรคส้ม ติ่งส้ม ได้คึกครื้นกันแน่
สำหรับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นฝ่ายค้าน จุดยืนเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม พรรคสีน้ำเงิน แล้วจะรวมกับพรรคสีส้มได้หรือ แม้แกนนำพรรคสีส้มจะเคยบอกว่า พร้อมโหวตหนุนแบบไม่ร่วมรัฐบาล แต่ถ้าเป็นแบบนั้นรัฐบาลก็ไม่ไม่รอดอยู่ดี เพราะจะมีแต่เกมต่อรอง วุ่นวายตามมา
ถ้าจะหันไปจับมือกับเพื่อไทย เพื่อใช้เสียงเพื่อไทยหนุน ก็เห็นกันอยู่ว่า ระหว่าง 2 พรรคมีความขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขากระโดง เรื่องถูกยึดคืนกระทรวงมหาดไทย ตัดมือไม้ที่ใช้เอื้อต่อการเลือกตั้ง
และที่สำคัญ ไม่ใช่เพราะ “สว.สีน้ำเงิน” หรือที่เป็นคนยื่นถอดถอน “นายกฯอิ๊งค์”
หากเพื่อไทยยังหนุน “อนุทิน” เป็นนายกฯ ก็มีคำถามตัวใหญ่ๆเลยว่า นี่หรือประชาธิปไตยไทย!?
คราวนี้ก็มาถึง “ชัยเกษม นิติสิริ” คนนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” พูดไว้แต่แรกแล้วว่าถ้า “อิ๊งค์” พ้นนายกฯ ก็ดัน“ชัยเกษม”ขึ้น
แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ตลอดเวลาที่ “ชัยเกษม” สังกัดพรรคเพื่อไทย เขาไม่ได้มีบารมีอะไรเลยที่จะเป็นนายกฯ แม่ว่าเขาจะได้รับการวางตัวเป็น แคนดิเดตนายกฯ ก็เหมือนใส่ชื่อไปให้เต็มโควตา เป็นการตอบแทนที่เคยช่วยทักษิณ ในเรื่องกฎหมาย... พูดง่ายๆ ว่าเขาเป็นแค่ “หุ่น”เท่านั้น
พอทักษิณบอกว่าจะดัน “ชัยเกษม” เป็นนายกฯ อันดับแรกก็ถูกมองว่า เขามีปัญหาสุขภาพ เรื่องนี้ใครๆก็รู้ และเมื่อตรวจคุณสมบัติ ยังพบแผลเรื่อง มาตรา 112 ที่เคยทำให้ถูกยื่นฟ้อง ข้อหาล้มล้างการปกครอง แม้ท้ายที่สุดศาลรธน. ไม่รับคำร้อง แต่สังคมก็ยังค้างคาใจ
ถ้า“ชัยเกษม” ได้เป็นนายกฯจริง สังคมก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่า เป็นนายกฯ ของประชาชน แต่เป็นนอมินี เป็น หุ่นของทักษิณ มากกว่า ซึ่งก็จะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลไม่ราบรื่น
สรุปว่า ทั้ง 5 แคนดิเดตนายกฯ ต่างมีแผล มากบ้างน้อยบ้าง ถ้าตำแหน่งนายกฯ จะต้องลงเอยที่คนใดคนหนึ่ง เชื่อว่าสภาพการเมืองต่อจากนั้น ก็ได้เวลานับถอยหลังอยู่ดี !