น่าจะเป็นการลุกลามชนิดไฟลามทุ่ง โดยบัญชาของจอมจักรพรรดิทรัมป์แห่งทำเนียบขาว ตั้งแต่เขาเข้ามาครอบครองทำเนียบขาว ในแต่ละวันจะมีประกาศแทรกแซงหน่วยงานอิสระของรัฐชนิดติดตามกันแทบไม่ทัน ที่เด่นๆ ก็คือหน่วยงานความช่วยเหลือ USAIDS ที่ถึงกับปิดยุบและกระทบต่อ Soft Power ที่สหรัฐฯ ได้ทุ่มเทสร้างมิตรกับนานาประเทศตั้งแต่สมัย JFK ด้วยซ้ำ
หลายๆ คำสั่งฝ่ายบริหารได้กระทำโดยพลการ มิไยนำพาต่อกฎหมายเพราะทรัมป์ทำการ “บุก” ก่อน...แล้วด้านนิติกฎหมายค่อยไปว่ากันที่ศาล ซึ่งจะใช้เวลานานจึงจะครบ 3 ศาล และศาลสุดท้ายก็มีพลังของทรัมป์รออยู่ (คะแนน 3:6)
ขณะนี้มีคดีฟ้องร้องกันมากมายที่สหรัฐฯ ในการคัดค้านการใช้อำนาจฝ่ายบริหารที่อาจละเมิดสิทธิข้าราชการ, ผู้บริโภค ฯลฯ ซึ่งผลต่อทรัมป์คงต้องไปรอวัดกันในการเลือกตั้งกลางเทอม (อีก 1 ปีครึ่ง) ในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า...ซึ่งทรัมป์ก็หวังว่า ถ้าเขารีบดำเนินการก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม เขาน่าจะยังได้รับคะแนนนิยมที่เดินหน้าทำตามที่เขาได้หาเสียงไว้ และเป็นการเดินตามแผน 2025 ที่มีบลูพรินต์หรือโรดแมปเป็นแผนแม่บท...แต่ผลจะออกมาอย่างที่ทรัมป์คาดการณ์ อันนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก
เพื่อพยายามกดราคาสินค้านำเข้าหลากหลายชนิดไม่ให้ราคากระโดดพรวดขึ้นมา จนทำให้แรงซื้อของผู้บริโภคชะลอลง (ยิ่งผสมโรงกับการชะลอการจ้างงานที่กำลังเกิดขึ้นสอดคล้องกับเศรษฐกิจอเมริกันที่ค่อยๆ ชะลอตัวลงจากกำหนดภาษีนำเข้าสูงลิ่ว) ทรัมป์จึงต้องการให้เฟดลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการบริโภคจับจ่ายผ่านเครดิตการ์ด รวมทั้งการซื้อสินค้าก้อนโตเช่น รถยนต์, บ้าน เป็นต้น
การพยายามให้ดอกเบี้ยลดลงดูจะไปเจอตอใหญ่เมื่อผู้ว่าฯ เฟดกำลังดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังยิ่ง เพราะเขาเกรงว่า ในครึ่งปีหลังนี้ ราคาสินค้าจะทยอยปรับตัวขึ้นแน่นอน หลังจากกำแพงภาษีนำเข้าเริ่มปรากฏเป็นจริง (ขณะที่ครึ่งปีแรก มีการปรับตัวอย่างมากของผู้นำเข้าที่ Front-Load รีบสั่งสินค้าเข้ามามากเตรียมรับอัตราภาษีนำเข้าที่กำลังจะออกมา)
การกดดัน Jay Fowell ผู้ว่าการเฟด ดูจะไม่ได้ตั้งใจ ขนาดเขียนใน Truth Social ให้ลาออก…ก็ไม่ได้ผล
ล่าสุด ได้พยายามกดดันให้กรรมการเฟดลาออกอีกคน เธอคือ ดร.ลิซ่า คุก ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์นักเรียนทุนดีเด่นจากออกซฟอร์ดและ UC Berkely ที่เข้ามาเป็นกรรมการตั้งแต่ปี 2022 สมัยปธน.ไบเดน โดยเธอเป็นสตรีผิวดำที่มีประวัติการทำงานโดดเด่น และฝ่าเพดานเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกในคณะกรรมการกำหนดนโยบายตลาดเปิดของเฟด
โดยผอ.สำนักงานสินเชื่อเคหะแห่งรัฐบาลกลาง (FHFA) คนใหม่ที่ทรัมป์ตั้งขึ้น ได้กล่าวหาดร.ลิซ่า คุก ว่า ทำผิดกฎหมายในการกู้เงินซื้อบ้านหลังแรก เพราะผอ.สำนักงานสินเชื่อเคหะฯ ได้เข้าไปตรวจสอบประวัติการขอกู้เงินซื้อบ้านหลังแรกว่า เธอซื้อหลังแรกที่เมือง Ann Arbor ที่รัฐมิชิแกน แต่ต่อมาเธอได้ทำเรื่องขอกู้ซื้อคอนโดฯ ที่พักที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย โดยขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสุดเพราะจะเป็นบ้านหลังแรก เรื่องนี้ทรัมป์กล่าวหาว่าเธอทำผิดกฎหมายอาญา โดยให้การเท็จในขณะขอกู้เงินซื้อบ้านที่สอง (บอกว่าเป็นหลังแรก)
เธอหาทนายมือดีมาฟ้องกลับทรัมป์ และขอให้ศาลพิจารณาระงับชั่วคราวในคำสั่งของทรัมป์จนกว่าคดีของเธอจะผ่านการพิจารณาของศาล
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 111 ปีของประวัติธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ปธน.ใช้อำนาจบริหารปลดกรรมการเฟด ซึ่งย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดเงินตลาดทุนที่มองว่า เฟดต้องดำเนินความเป็นอิสระจากฝ่าย
บริหาร...เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อปูทางให้ประธานเฟดทนไม่ไหวที่จะมาทู่ซี้กับทรัมป์ เพื่อยอมไขก๊อกลาออกเสียเอง
ก่อนนี้สักสองอาทิตย์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งปลดผอ.รายงานตลาดแรงงาน ซึ่งดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่สมัยไบเดน โดยเธอก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้านแรงงาน ที่ทำการดูแลการสำรวจตัวเลขการจ้างงาน, อัตราการว่างงานของประเทศ...และปรากฏตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมอยู่แค่ 73,000 ตำแหน่ง…นับว่าต่ำมาก...อันเป็นผลพวงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวจากกำแพงภาษีของทรัมป์
ยังมีการแทรกแซงด้วยการที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าไปลงทุนถือหุ้นในบริษัทของเอกชน ซึ่งในระบบทุนนิยมเสรีที่สนับสนุนการแข่งขันของภาคเอกชน จะไม่ยอมให้รัฐบาลหันมาผลิตหรือให้บริการแข่งกับกิจการของเอกชน...นอกจากเวลามีสงคราม หรือยามเศรษฐกิจตกต่ำ/ถดถอย เช่น ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (2008-2009) ที่ปธน.โอบามาออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้รัฐบาลเข้าไปช่วยอุ้มกิจการที่ได้รับผลกระทบจนเสี่ยงล้มละลาย ไม่ว่าจะเป็น GM (จนมีฉายาว่าเป็น Government Moters!) หรือ AIA, ธนาคารซิตี้…ซึ่งเป็นการเข้าไปช่วยเหลือในระยะเวลาอันสั้นในช่วงวิกฤต และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นทั้งประเทศ รัฐก็ต้องรีบขายหุ้นออกจากกิจการของเอกชนนี้โดยเร็ว
ขณะนี้ ทรัมป์ได้เริ่มแทรกแซงตั้งแต่บริษัท US. Steel ที่เขาตัดสินใจขายให้บริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่น จนหุ้นฝ่ายอเมริกันกลายเป็นเสียงข้างน้อย แต่รัฐบาลอเมริกันก็ได้รับการยินยอมจากผู้ถือหุ้นใหญ่ฝ่ายญี่ปุ่นว่าให้มี Golden Shares หรือหุ้นข้างน้อย แต่มีสิทธิในการเลือกกรรมการบริษัทและซีอีโอ และสามารถยับยั้งไม่ให้บริษัทของญี่ปุ่นหยุดการผลิตเหล็ก เพราะอาจทำให้กองทัพสหรัฐฯ และกิจการก่อสร้างของสหรัฐฯ ต้องหยุดชะงักเมื่อ Nippon Steel มีคำสั่งให้หยุดผลิตเหล็ก
ต่อมาบริษัท NVIDIA ต้องจำยอมมอบกำไร 15% ที่ได้จากการขายชิปรุ่น H20 (ให้แก่จีน) มอบให้แก่รัฐบาลอเมริกัน ซึ่งเป็นการบีบบังคับ NVIDIA ต้องจำยอม ทั้งๆ ที่กำไรส่วนนี้รัฐบาลอเมริกันก็จะได้รับในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่แล้ว
กับบริษัท Intel ที่เคยยิ่งใหญ่มากในปีที่แล้ว (2024) ราคาหุ้นตกลงถึง 60% เพราะไม่ได้เข้าไปขยายงานด้าน AI…ปธน.ทรัมป์ถึงกับเขียนใน Truth Social ให้ซีอีโอของ Intel ลาออก และกล่าวหาว่าเขาเป็นสายลับจีน เพราะเขามีเชื้อสายจีน...ต่อมามิตรสนิทของทรัมป์คือ Peter Thiel ได้อธิบายให้ทรัมป์คลายความสงสัยอันนั้น...และทรัมป์เชิญซีอีโอเชื้อสายจีนของ Intel ไปพบที่ทำเนียบขาว
ทรัมป์กลับเสนอจะให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เข้าถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อช่วยอุ้ม Intel ซึ่งเป็นการเปิดฉากขยายบทบาทของรัฐในกิจการเอกชน (ทั้งๆ ที่ไม่อยู่ในภาวะสงคราม)
เมื่อวันพุธนี้เอง รมต.พาณิชย์ Lutnick พูดใน CNBC ว่า ขณะนี้กำลังหารือกันเรื่องใหญ่มากที่กระทรวงกลาโหม ที่กลาโหมจะเข้าถือหุ้น 10-15% ในกิจการเอกชนสำคัญๆ ด้านผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และซอฟต์แวร์เช่น ล็อกฮีด มาร์ติน, โบอิ้ง, Palantir Inc เพราะกิจการเหล่านี้คือแขนขาของกระทรวงกลาโหม
เริ่มมีปัญญาชนอเมริกันหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่า การเข้าแทรกแซงเหล่านี้จะบั่นทอนด้านการแข่งขันความสามารถของบริษัทเอกชนในการเข้าประมูลงานของกระทรวงกลาโหมเช่น Space X ของอีลอน มัสก์หรือ Blue Origin ของเจฟฟ์เบซอส ที่ไม่มีรัฐถือหุ้นก็จะเสียเปรียบ และเป็นการสวนทางกับกฎที่ห้ามเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของกระทรวงกลาโหมที่ไม่สามารถไปทำงานให้บริษัทเอกชนผู้ผลิตอาวุธเหล่านี้ จนกว่าจะต้องพักถึง 2 ปีจึงจะไปทำงานได้...เพื่อให้เอกชนได้สามารถมีขีดแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ไม่เสียเปรียบบริษัทที่รัฐถือหุ้น
และโหมดของทรัมป์นี้ก็คือกึ่งสังคมนิยมที่ทรัมป์ได้โจมตีจีนมาตลอดด้วย ถึงขนาดห้ามบริษัทไฮเทคของจีนเข้าประมูลงานของรัฐบาลอเมริกัน และห้ามหน่วยงานรัฐในอเมริกันใช้สินค้าของหัวเว่ยของจีน เพราะหวาดกลัวด้านความมั่นคงและความลับราชการเพราะบริษัทจีนมีหุ้นของรัฐบาลจีนหรือกองทัพจีนให้การสนับสนุน