xs
xsm
sm
md
lg

ผลเสีย MOU 2543 ฉบับง่ายๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



การสู้รบกัน 5 วันระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ว่าจะเข้าข่ายการเป็นสงครามหรือไม่ แต่ทำให้ทหารไทยและคนไทยเสียชีวิตจำนวนมาก โดยการสู้รบของทหารไทยที่สละชีวิตเพื่อยึดดินแดนคืนมา 11 แห่งนั้น ยึดหลักตามแผนที่มาตราส่วน 1:50,000แต่ข้อตกลงที่ทำกันระหว่างไทยกับกัมพูชาคือ MOU 2543 กลับยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000

แม้มีเสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนและนักวิชาการหลายคนว่าให้ยกเลิก MOU 2543 เพื่อสลัดให้พ้นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แต่ทุกรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศกลับมองว่า ไทยได้ประโยชน์จาก MOU ฉบับนี้ ทั้งที่กัมพูชาไม่เคยยึดถือและละเมิดอยู่ตลอดเวลาจนไทยประท้วงไปแล้วหลายร้อยครั้ง

หากถามอย่างตรงไปตรงมา “การปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาควรจบสิ้นไปแล้วหรือไม่” คำตอบทางกฎหมายและข้อเท็จจริงก็คือจบสิ้นไปแล้วตั้งแต่ร้อยปีก่อนเมื่อสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ ลงนามสนธิสัญญากับฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมของกัมพูชาผ่านอนุสัญญาค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาค.ศ. 1907 ที่กำหนดเส้นเขตแดนอย่างชัดเจนและมีการปักหลักหมุดจริงจำนวน 73 หลักจากศรีสะเกษถึงตราด

หมุดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ามีการแบ่งเขตแดนโดยวิธีสากลที่ทั่วโลกยอมรับคือใช้สันปันน้ำตามแนวเทือกเขาดงเร็กในพื้นที่สูงใช้เส้นแม่น้ำเป็นเส้นเขตในบางช่วง และใช้เส้นตรงเชื่อมหลักต่อหลักในพื้นที่ราบปักหมุดไว้เป็นสัญลักษณ์ที่ยืนยันแนวแดนชัดเจนกระบวนการนี้ทำให้การปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 หากเรายึดตามหลักนี้เพียงอย่างเดียวปัญหาที่เผชิญอยู่ในปัจจุบันคงไม่เกิด

แต่เงาอาณานิคมกลับไม่จบง่ายๆ เมื่อฝรั่งเศสจัดทำ “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000” ขึ้นมาแนบท้ายสนธิสัญญา 1907 และเส้นที่วาดกลับเบี่ยงเบนจากแนวสันปันน้ำ โดยเฉพาะที่ปราสาทพระวิหารไทยไม่เคยยอมรับแผนที่นี้เพราะเห็นว่าไม่ตรงตามตัวบทสนธิสัญญา แต่กัมพูชากลับถือเป็นเอกสารทางการที่ไทยเคยรับไว้เมื่อข้อพิพาทถูกนำขึ้นศาลโลกในปี 2505 และ 2556 ศาลยึดแผนที่นี้เป็นฐานตัดสินทำให้กัมพูชาได้เปรียบและไทยต้องเผชิญกับความสูญเสียอธิปไตยปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่รอบปราสาท 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เกิดจากเอกสารที่เราไม่เคยเห็นว่าถูกต้อง

การใช้แผนที่ 1:200,000 จึงเป็น “กับดักทางกฎหมาย”เพราะในยุคอาณานิคมการสำรวจทำได้เพียงหยาบๆ การทำแผนที่ละเอียดกว่านั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ฝรั่งเศสและมหาอำนาจยุโรปเพียงต้องการเส้นแบ่งคร่าวๆ เพื่อแสดงอิทธิพลไม่ได้มุ่งความแม่นยำแผนที่ยุคอาณานิคมจึงควรถูกเก็บไว้ในห้องสมุดเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ไม่ควรถูกหยิบมาใช้ผูกพันในศตวรรษที่ 21 ที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างใช้มาตราส่วน 1:50,000 หรือ 1:25,000 ควบคู่กับ GPS และภาพถ่ายดาวเทียมในการปักปันแนวแดนใหม่

แต่แล้วไทยกลับเดินย้อนทางไปสู่กับดักเดิมอีกครั้งในปี 2543 เมื่อรัฐบาลไทยสมัยนายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีต่างประเทศคือสุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้ลงนาม MOU 2543 กับกัมพูชาที่พนมเปญจุดประสงค์ตามที่ประกาศคือเพื่อสร้างกลไกแก้ปัญหาชายแดนโดยสันติ ตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) มาสำรวจและปักหลักใหม่แต่ในถ้อยคำของเอกสารนั้นมีการระบุให้ “ยึดสนธิสัญญา 1904 และ 1907 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง” นี่เองคือกับดักสำคัญเพราะทำให้แผนที่ 1:200,000 ที่ไทยไม่เคยยอมรับถูกดึงกลับเข้ามาเป็นฐานการเจรจาโดยปริยาย

ผลจาก MOU 2543 ทำให้ทุกครั้งที่มีข้อพิพาทกัมพูชาสามารถอ้างแผนที่ 1:200,000 บนโต๊ะเจรจาได้ทันที และไทยก็ถูกบีบให้ต้องถกเถียงบนสนามที่ตัวเองเสียเปรียบนี่คือผลพวงที่ชัดเจนว่าทำไม MOU 2543 จึงเป็นเอกสารที่ทำร้ายผลประโยชน์ของชาติไทย

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าในโลกปัจจุบันไม่มีประเทศใดใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการปักปันเขตแดนอีกแล้วเพราะหยาบเกินไปไม่สามารถกำหนดพิกัดแน่นอนได้ทุกประเทศที่มีข้อพิพาทเช่นอินเดีย–บังกลาเทศ ลาว–เวียดนามหรือแม้แต่แอฟริกาใช้มาตราส่วน 1:50,000 หรือ 1:25,000 ควบคู่กับGPS และภาพถ่ายดาวเทียมแต่ไทยกับกัมพูชากลับยังต้องเถียงกันบนแผนที่อาณานิคมที่ทำขึ้นเมื่อร้อยปีก่อนเพราะMOU 43 ผูกมัดเอาไว้

MOU 2543 จึงกลายเป็นเอกสารที่ขัดกับผลประโยชน์ไทยอย่างที่สุดเพราะแม้กระทรวงการต่างประเทศจะอ้างว่ามีข้อดีเช่น การห้ามเปลี่ยนสภาพพื้นที่การเก็บกู้ทุ่นระเบิดหรือการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี แต่ข้อดีเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องรองสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องไปยอมรับเงื่อนไขที่บั่นทอนอธิปไตย ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดคือการเปิดประตูให้กัมพูชาสามารถอ้างแผนที่อาณานิคมที่ผิดพลาดกลับมาผูกพันไทยได้ทุกครั้งที่มีการประชุม JBC หรือข้อพิพาทชายแดน

ที่ร้ายไปกว่านั้นคือเมื่อใดก็ตามที่มีข้อพิพาทบริเวณชายแดนเช่นพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร กัมพูชาจะชูแผนที่ 1:200,000 ขึ้นมาเป็นหลักฐานแล้วไทยก็ถูกกดดันให้ต้องนั่งโต๊ะเจรจาบนสนามที่ตัวเองเสียเปรียบโดยตรงเพราะเอกสารที่เราไม่เคยยอมรับกลับมีผลมาจากMOU 2543 ที่เราลงนามไปแล้วนั่นเอง

ดังนั้น หากเรามองย้อนตามไทม์ไลน์ 1904–1907 (2447-2450) ที่ปักหมุดเขตแดนชัดเจนแล้ว→2505 ไทยเสียเปรียบเพราะศาลโลกยึดแผนที่อาณานิคม→2543 ไทยไปลงนามMOU ที่ดึงแผนที่นี้กลับมาอีกครั้ง→และ 2556 ศาลโลกตีความย้ำซ้ำอีกจะเห็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่ไทยกำลังเดินวนอยู่ในกับดักของแผนที่ 1:200,000 ที่ไม่เคยเป็นธรรมต่อเราเลย

ข้ออ้างของกระทรวงการต่างประเทศที่ว่า “แม้ยกเลิกMOU 2543 ก็หนีแผนที่ 1:200,000 ไม่พ้น” เป็นตรรกะที่กลับตาลปัตรเพราะความจริงคือการคงอยู่ของ MOU 2543 นี่แหละที่ทำให้ไทยหนีไม่พ้นเงาของแผนที่ 1:200,000 หากยกเลิกเสียไทยยังสามารถยืนหยัดบนหลักการเดิมคือสนธิสัญญา 1904–1907 ที่ยึดสันปันน้ำเป็นหลัก และใช้อุปกรณ์แผนที่ที่ทันสมัยกว่าได้โดยไม่ต้องยอมให้เอกสารที่บิดเบือนมากำหนดเส้นแดนของเราอีก

ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชาควรจบไปแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ การปักหมุด 73 หลักคือข้อยุติที่ชัดเจนและสมบูรณ์แต่การดึง MOU 2543 เข้ามาใช้งานกลับทำให้แผลที่ควรหายแล้วถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง และถูกบีบให้ไทยต้องเถียงกันบนเอกสารอาณานิคมที่ล้าสมัย นี่คือความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยไม่ควรปล่อยให้คงอยู่

เขตแดนคืออธิปไตยและอธิปไตยคือหัวใจของรัฐชาติ การปล่อยให้ MOU 2543 มีผลต่อไปเท่ากับยอมให้เงาของจักรวรรดิฝรั่งเศสยังครอบงำสยามต่อไปในศตวรรษที่ 21 หากเราต้องการปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ

น่าประหลาดใจที่รัฐบาลของทุกพรรคทุกฝ่ายเมื่อมีอำนาจไม่มีใครยอมยกเลิกทุกรัฐบาลกลับถูกครอบงำด้วยความเชื่อของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและเห็นดีเห็นงามอย่างที่กระทรวงการต่างประเทศเพิ่งออกมาแถลงถึงข้อดีของ MOU 2543 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกล้ายกเลิก MOU 2543 อย่างไม่มีข้อแม้เพื่อยืนยันว่าเส้นเขตแดนไทย–กัมพูชาจบสิ้นไปแล้วตามที่สนธิสัญญาร้อยปีก่อนกำหนดไว้ ไม่ใช่ปล่อยให้ข้อผิดพลาดในอดีตมากำหนดอนาคตของประเทศอีกต่อไป
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น