ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องการเมืองในอเมริกา อันเป็นอะไรที่อุตลุด ชุลมุนชุลเกซะเหลือเกิน หันไปแวะเยี่ยมๆ มองๆ แถว “ทะเลแดง” ไปว่ากันถึงเรื่องพวกนักรบฮูตี (Houthis) หรือ “Ansar Allah” แห่งเยเมนเอาไว้สักหน่อย เพราะแม้จะจนแสนจน อยู่ในประเทศที่จนแทบจะที่สุดในโลก แต่ในแง่ของความใจใหญ่ ใจถึง จริงจังและจริงใจ ออกจะเป็นอะไรที่น่าประทับใจ น่ายกย่องเอามาก และคงต้องอุทิศเนื้อที่ “บันทึก” เอาไว้ ณ ที่นี้...
เพราะไม่ว่าชาติมหาอำนาจระดับโลก ไม่ว่ารายไหนต่อรายไหนก็แล้วแต่ ไล่มาตั้งแต่พี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลาง อภิมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่เคยคิดจะรุมกระทืบประเทศเล็กๆ จนๆ แห่งนี้พร้อมกับบรรดาพันธมิตรกลุ่มประเทศอ่าว โดยมีชาติตะวันตกคอยให้ความช่วยเหลืออีกต่างหาก แต่สุดท้าย...ยังต้องสะบัดเท้าหนี เลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว ในการคิดที่จะตอแยกับ “มดตะนอย” อย่างเยเมนอีกต่อไป หรือกระทั่งมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาที่ขนเรือบรรทุกเครื่องบินถึง 2 ลำ (USS Dwight D. Eisenhower, USS Roosvelt) รวมทั้งกองเรือรบอังกฤษ เข้ามาปกป้อง คุ้มครอง พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลและบรรดาเรือสินค้าที่ผ่านไป-ผ่านมาในทะเลแดง แต่เมื่อเจอกับ “แจ็กแห่งเยเมน” หรือพวกนักรบฮูตี ที่ป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าพร้อมจะ “สอย” เรือใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล จนกว่ากองทัพ “IDF” จะยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ในเขตฉนวนกาซาลงไปโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น ไม่งั้นบรรดา “ยักษ์” ทั้งหลาย มีอันต้องเจอกับการจมเรือในแต่ละลำอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
แม้จะถูกกองทัพอากาศอเมริกา-อังกฤษรุมกระทืบ รุมถล่ม พื้นที่เป้าหมายในประเทศเยเมนนับร้อยๆ ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถสร้างความศิโรราบให้กับ “แจ็กแห่งเยเมน” ได้ง่ายๆ โดยอาศัยขีดความสามารถของ “อาวุธสมัยใหม่” หรืออาวุธในสงครามยุคใหม่ที่ตัวเองพยายามยกระดับ-พัฒนาขึ้นมาเอง ไม่ว่าประเภท “จรวด” หรือ “โดรน” สาดใส่เรือสินค้า เรือรบในแต่ละลำหรือแม้แต่ “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ของสหรัฐฯ จนมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกต้องถอยกรูด ถอยไปตั้งหลัก ย้ายเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกจากทะเลแดง ไปอยู่ห่าง “รัศมีส้นตีน” ของพวกนักรบฮูตีถึงแถวๆ ใกล้ๆ เมืองเจดดาห์ประเทศซาอุดีอาระเบียไปโน่น ส่วนเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สอง เห็นว่า...ต้องกรรเชียงหนีไปอยู่แถวๆ มหาสมุทรอินตะระเดียโน่นเลย...
แต่ที่ก่อให้เกิดความโตะโอะ-โตะใจ ตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งไปกว่านั้นเมื่อช่วงวัน-สองวันมานี้ ก็คือการส่งเครื่องบินโดรน บินฝ่าด่านต่างๆ ในระยะทางยาวเหยียดเกือบ 1,000 ไมล์ หรือ 1,600 กิโลเมตร เข้าไปถล่มย่านดาวน์ทาวน์ของกรุงเทลอาวีฟประเทศอิสราเอล ห่างจากสถานกงสุลอเมริกันเพียง 100 เมตร ชนิดระบบป้องกันภัยทางอากาศ “Iron Dome” ของอิสราเอล ที่เคยคุยใหญ่ คุยโต คุยนักคุยหนาว่ามีประสิทธิภาพในการตรวจจับ ป้องกัน สกัดกั้น อย่างแทบไม่มีใครทัดเทียมต้องกลายสภาพไปเป็นโดมหยวก โดมกล้วย ไม่ใช่โดมเหล็กต่อไปอีกแล้ว คือไม่สามารถปัดป้องการโจมตีดังกล่าวของพวกนักรบฮูตีได้เลย ศักยภาพแห่งการออกฤทธิ์ ออกเดช คราวนี้ ถึงกับทำให้บก.บริหารของสื่อฯ ตะวันตก “The Cradle” อย่าง “Esteban Carrillo” ถึงกับต้องละล่ำละลักออกมาว่า... “โดรนของเยเมนคราวนี้ ไม่ได้เพียงสามารถเล็ดลอดระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลแต่เพียงเท่านั้น แต่มันยังสามารถเล็ดลอดเครือข่ายเรดาร์อันทันสมัยสุดๆ ของกองเรือสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่เฝ้าระวังปกป้องอิสราเอลอยู่ในน่านน้ำทะเลแดง แถมยังสามารถเล็ดลอดระบบป้องกันภัยทางอากาศของซาอุดีอาระเบีย ของจอร์แดน หรือสามารถเล็ดลอดเครือข่ายป้องกันทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งมาระเบิดตูมๆตามๆ กลางบ้านกลางเมืองของอิสราเอลได้อย่างที่เห็นๆ...”
ด้วยเหตุนี้...แม้ว่ารัฐบาลอิสราเอลจะอ้อมๆ แอ้มๆ พยายามสรุปว่าการเล็ดลอดเข้ามาโจมตีถึงดินแดนตัวเอง เป็นเพราะ “ความผิดพลาดส่วนบุคคล” หรือของมนุษย์ ไม่ใช่ของ “ระบบป้องกัน” ก็ตาม แต่ดูเหมือนชาวอิสราเอลโดยทั่วไปไม่คิดจะเชื่อคำแก้ตัวของทางการมากมายสักเท่าไหร่ สื่ออิสราเอลอย่าง “The Walla Daily” ถึงกับสรุปอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลต่อการโจมตีภายนอก น่าจะถึงจุด “ล่มสลาย” ลงไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์ “Haaretz” ที่พยายามบอกเอาไว้อ้อมๆ ว่า อุบัติการณ์จากโดรนของเยเมนคราวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงโฉมหน้าของ “สงครามยุคใหม่” แม้แต่สื่อตะวันตกอย่างผู้สื่อข่าว “The New York Times” ประจำกรุงเทลอาวีฟ “นายPatrick Kingsley” ยังอดไม่ได้ที่ต้องสรุปว่า โดรนของพวกฮูตีคราวนี้ สะท้อนให้เห็นถึง “จุดอ่อน” อย่างชัดเจนของระบบป้องกันภัย “Iron Dome” ต่อการรับมือกับเป้าหมายที่เคลื่อนที่แบบช้าๆ หรือบินในระยะต่ำๆ และใช้พลังงานความร้อนน้อยในการขับเคลื่อน ฯลฯ...
คือพูดง่ายๆ ว่า...ด้วยประสบการณ์แห่งการสู้ศึกสงครามต่างๆ นานาแบบปากกัด-ตีนถีบมาโดยตลอด คือแรงกระตุ้นที่ทำให้พวกนักรบฮูตีสามารถ “ยกระดับ” และ “พัฒนา” อาวุธในแต่ละชนิดของตัวเอง ให้เหมาะสม สอดคล้องกับ “เป้าหมาย” แต่ละเป้าหมายได้อย่างน่าทึ่ง น่าตื่นตะลึงเอามากๆ แบบเดียวกับพวก “นักรบเวียดนาม” ที่เคยดัดแปลงการตั้งรับ โจมตีและตอบโต้บรรดาทหารอเมริกัน ด้วย “สงครามอุโมงค์” จนกองทัพที่ได้ชื่อว่า “เครื่องจักรสังหาร” ระดับโลก ต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าบรรดาผู้รับผิดชอบในอิสราเอลจะพยายาม “โยนขี้” ไปให้กับประเทศศัตรู-คู่กัดอย่างอิหร่าน ว่าเป็นผู้ “จัดหา” อาวุธแปลกๆ ใหม่ๆ ให้กับนักรบเยเมนไว้ใช้เล่นงานใครต่อใคร แต่ไม่ว่าอิหร่านหรือพวกนักรบฮูตีเอง ต่างพูดไปในแนวเดียวกัน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากประสบการณ์อันยากลำบากของชาวเยเมนทั้งหลายนั่นเอง ที่เป็นแรงกระตุ้นให้กับการยกระดับและพัฒนาอาวุธในแต่ละแบบ แต่ละชนิด...
ดังนั้น...แม้ว่ากองทัพอิสราเอลจะพยายามแก้หน้า ล้างแค้น-เอาคืน ด้วยการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิด ถล่มเมืองท่า “Hudaydah” ของเยเมน เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา(19 ก.ค.) ทำลายโรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้า และสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนหนึ่ง พร้อมกับคุยโวโอ้อวดเอาไว้ล่วงหน้า ว่าการที่ตัวเองสามารถบินเข้าไปถล่มเยเมนที่อยู่ไกลไปจากดินแดนอิสราเอลถึง 1,700 กิโลเมตร ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถว่าพร้อมที่จะถล่มกรุงเตหะรานของอิหร่าน ที่อยู่ห่างไปแค่ 1,500 กิโลเมตรได้สบายๆ แต่ก็นั่นแหละ...การ “เบ่งกล้าม” การอวดโชว์ศักยภาพในการล้างแค้น-เอาคืนคราวนี้ แทบไม่ได้ช่วยให้เกิดความสบายอก-สบายใจใดๆ ต่อบรรดาชาวยิวทั้งหลายมากมายสักเท่าไหร่ เพราะการ “เปิดศึก” ในแต่ละด้านของกองทัพอิสราเอล กลับก่อให้เกิดความหวั่นไหว หวาดระแวง เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ...
คือแค่การรบกับพวก “นักรบฮามาส” ที่มีแค่ปืนไรเฟิลประจำกาย ปืนต่อต้านรถถัง จรวดทำเอง ไม่ก็บอลลูนเพลิง ฯลฯ เป็นอาวุธต่อสู้ ต่อต้าน กับฝ่ายตรงข้ามไปตามสภาพ แต่ลากมา 9 เดือน 10 เดือนเข้าไปแล้ว กองทัพอิสราเอลก็ยังไม่สามารถบรรลุภารกิจได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ แถมจำนวนอาวุธ จำนวนกระสุน ตลอดไปจนเสบียงกรัง ฯลฯ ก็มีแต่จะร่อยหรอลงไปทุกที ยิ่งเมื่อต้องหันมา “ดวลจรวด” กับพวก “Hezbollah” ในแถบพรมแดนด้านเหนือ ที่ว่ากันว่ามี “ขีปนาวุธ” อยู่ในมือไม่ต่ำกว่า 150,000 ลูก มีโดรนแบบแปลกๆ อีกไม่ต่ำกว่า 2,000 ลำ จรวดต่อต้านรถถังอีกเพียบ ไปจนจรวดสกัดกั้นป้องกันภัยทางอากาศ รวมทั้งนักรบที่พร้อม “ตาย-เป็ง-ตาย” อีกไม่ต่ำกว่า 100,000 นาย เพียงเท่านี้ก็ “ปวดหัว...ตายห่า!!!” จนอยากจะหันไป “ถีบ” ผู้นำประเทศ อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” ที่อาศัย “สงคราม” หล่อเลี้ยงอำนาจและบทบาทของตัวเอง ให้พ้นๆ ไปซะทีน่าจะเหมาะกว่า...
ยิ่งถ้าหากต้องเจอกับการ “รวมมือ-รวมตีน” ของพวก “อักษะแห่งการต่อต้าน” (Axis of Resistance) อันประกอบไปด้วยพวกฮามาส เฮซบอลเลาะห์ ฮูตี พวกทหารบ้านในอิรัก ซีเรีย ไปจนถึงพี่เบิ้มอย่างอิหร่าน อย่างเป็นระบบและกิจการด้วยแล้ว อันนี้...ต้องเรียกว่า โอกาสที่จะถูก “ลบประเทศอิสราเอลออกจากแผนที่” ยิ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกนักรบที่จนแสนจน อย่างนักรบฮูตี ได้แสดงให้เห็นอย่างเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การเจาะเกราะ เจาะระบบป้องกันอันสุดแสนจะแข็งแกร่งของอิสราเอลนั้น ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก หรือเป็นไปไม่ได้เอาเลย เพราะด้วยการเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในแบบปากกัด-ตีนถีบนี่เอง ที่ทำให้เกิดการตกแต่ง ต่อยอด การดัดแปลงเครื่องบินโดรนแบบ “Samad-3” ให้กลายเครื่องบินที่มีรัศมีทำการไกลได้ถึง 1,500-1,800 กิโลเมตร ด้วยความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีขีดความสามารถในการหลบหลีกเรดาร์อย่างชนิดแทบไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อหรือกลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ถูกเรียกขานในนาม “Jafa” อันหมายถึงชื่อที่ชาวปาเลสไตน์ใช้เรียกกรุงเทลอาวีฟ ก่อนถูกกองทัพอิสราเอลขับไล่ออกจากพื้นที่ดังกล่าว จนสามารถ “เจาะเกราะเหล็ก” ของ “Iron Dome” ได้อย่างน่าตื่นตะลึงพรึงเพริด ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ตลอดไปจนจรวดและโดรนราคาถูกๆ แค่ไม่กี่พันดอลลาร์ ที่สามารถทำให้ “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ของมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก ต้องถอยกรูดออกไปจากทะเลแดง ไปตั้งหลักอยู่แถวๆ มหาสมุทรอินเดีย หรือแถวประเทศซาอุฯ โน่นเลย หลังจากที่งัดเอาจรวดสกัดกั้นลูกละไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบล้านดอลลาร์ มาปกป้องตัวเองจนแทบไม่เหลือจรวด เหลือกระสุนติดตัว ไปแล้วก็ว่าได้...
เรียกว่า...แม้จะจนแสนจน ลำบากแสนลำบากมาโดยตลอด แต่ด้วยความใจใหญ่ ใจถึง ใจจริงและจริงใจ โอกาสที่จะยอมศิโรราบให้กับใครง่ายๆ น่าจะไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของพวกนักรบเยเมนเอาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้...เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (20 ก.ค.) หรือหลังจากถูกกองทัพอากาศอิสราเอลถล่มเมืองท่า “Hudaydah” ไปหมาดๆ โฆษกกองทัพเยเมน อย่าง “พลเอกYahya Saree” เลยออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าได้แก้แค้น-เอาคืนด้วยการส่งขีปนาวุธไปถล่มเมืองท่า “Eilat” ด้านใต้ของอิสราเอล ได้อย่างเป็นผลสำเร็จตามเป้าหมาย และพร้อมยกระดับให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าต่อพื้นที่ต่างๆ ในอิสราเอล ต่อเรือรบอังกฤษ หรือเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกา ที่ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของ “แจ็กผู้ฆ่ายักษ์” รายนี้ให้จงได้!!! จนกว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ของกองทัพอิสราเอลจะสิ้นสุด ยุติ ลงไปแต่เพียงเท่านั้น นี่...ต้องเรียกว่า อะไรจะใจถึง-พึ่งได้เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว แม้จะจนแสนจน แต่ก็ “รวยน้ำใจ” อย่างชนิดมีแต่ต้องบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ว่าประวัติศาสตร์มุสลิม หรือประวัติศาสตร์โลกก็ตามที...