ถึงตอนนี้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณก็ยังนอนสบายในโรงพยาบาลแม้เลย 120 วันมาแล้ว ครบกำหนดต้องมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีราชทัณฑ์ พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้รักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องและรายงานให้รัฐมนตรีทราบ แต่ไม่มีข่าวคราวดังกล่าวแพร่งพรายออกมาว่า เหตุผลที่ทำให้ทักษิณได้นอนในโรงพยาบาลต่อไม่ต้องเข้าคุกคืออะไร
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่า ทักษิณจะอยู่ในโรงพยาบาลไปถึงเดือนกุมภาพันธ์จนครบ 6 เดือน ซึ่งจะเข้าข่ายได้พักโทษ และฟันธงได้เลยว่า ทักษิณจะหายป่วยไข้ออกจากโรงพยาบาลได้กลับมาอยู่บ้านทันที
นี่สะท้อนให้เห็นว่าทักษิณสามารถควบคุมอำนาจรัฐไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับในวันที่เขาเคยมีอำนาจด้วยตัวเอง และใช้อำนาจนั้นอย่างไม่บันยะบันยังจนเรียกขานกันว่าระบอบทักษิณมาแล้ว นั่นคือไม่สนใจบรรทัดฐานของกฎหมายแต่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองกฎหมายบังคับใช้กับคนอื่นได้ แต่เป็นข้อยกเว้นสำหรับทักษิณ
แม้จะมีเสียงเอะอะถึงความเป็นอภิสิทธิชนของทักษิณอยู่บ้าง แต่เสียงเหล่านั้นก็ไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้ทักษิณสะเทือนได้ ข้าราชการส่วนใหญ่พากันอยู่เป็นเอาตัวรอดกันหมดและรู้ว่าถ้าใครภักดีระบอบทักษิณจะสมนาคุณอย่างถึงใจ แม้แต่ตุลาการที่ตัดสินลงโทษพิพากษาทักษิณแล้วก็ไม่ได้มีอำนาจว่าทักษิณจะถูกจำคุกจริงตามคำพิพากษาหรือไม่ จนสะท้อนว่า อำนาจของกรมราชทัณฑ์นั้นอยู่เหนือศาล
สังคมไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจว่าทักษิณจะเข้าคุกไหม กระบวนการยุติธรรมของประเทศกำลังถูกทำลายป่นปี้ไหม อาจจะเป็นเพราะคนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมืองมาหลายปี อยากจะทำมาหากินมากกว่า หรือรู้ว่าการกลับมาประเทศของทักษิณมีดีลอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะออกไปต่อสู้เรียกร้อง และบทเรียนที่ผ่านมาก็คือ คนที่ต่อต้านทักษิณมีทั้งติดคุกและถูกฟ้องล้มละลายจะไปเปลืองตัวทำไม
บางคนทำใจบอกว่าเราเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยจะไปต่อสู้ขัดขวางเรียกร้องให้เปลืองตัวทำไม ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นไป
เมื่อถึงวันที่ทักษิณออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว เราต้องดูว่าเขาจะแสดงบทบาททางการเมืองออกมาแค่ไหนในฐานะเจ้าของอำนาจที่แท้จริงที่มีเศรษฐา ทวีสินเป็นหุ่นเชิดหรือที่นักข่าวให้ฉายาว่า เซลส์แมนสแตนด์ชิน เพราะขณะที่ยังอยู่ในฐานะนักโทษเทวดาคนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า ทักษิณสามารถสั่งการจากโรงพยาบาลได้
แม้เศรษฐาจะดูแอ็กทีฟกระตือรือร้นแต่ก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามีอำนาจจริงๆ อยู่ในมือ เพียงแต่แสดงบทบาทตามหัวโขนของนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง แต่ทักษิณวางคนของตัวเองเอาไว้หมด รวมไปถึงการสร้างบทบาทให้กับอุ๊งอิ๊ง-แพทองธารเพื่อเตรียมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต เวลาที่ออกงานร่วมกันเศรษฐาก็รู้ว่า เขาต้องพินอบพิเทาต่อลูกสาวของทักษิณอย่างไร ถึงกับหลุดปากเองว่า มีนายกรัฐมนตรีสองคนมาแล้ว
นอกจากมอบหมายงานให้อุ๊งอิ๊งไต่บันไดนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานในฐานะตัวแทนของรัฐในหลายงานแล้ว ก็จับตาดูกันว่า จะเตรียมการให้อุ๊งอิ๊งฝึกงานในฐานะรัฐมนตรีไหม เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีในโควตาของพรรคเพื่อไทยยังว่างอยู่หนึ่งตำแหน่ง บางทีทางลัดของอุ๊งอิ๊งอาจจะเริ่มตรงนี้
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า อุ๊งอิ๊งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยเลือกตั้งนี้ เพราะเป้าหมายของทักษิณก็คือต้องปั้นลูกสาวให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นต้องเป็นสมัยนี้เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ก็ดูจังหวะว่าจะให้เศรษฐาเปิดทางให้ตอนไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทักษิณกดปุ่มได้อยู่แล้ว
ดังนั้นเชื่อว่า อุ๊งอิ๊งจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเกียรติยศของครอบครัวชินวัตรต่อจากพ่อ อาเขย และอาอย่างแน่นอน และทักษิณก็ง่ายที่จะคอนโทรลลูกสาวของตัวเองมากกว่าเศรษฐา
น่าสงสารที่สุดก็คือฝ่ายอนุรักษนิยม คนที่เลือกพรรคก้าวไกลก็มีทางเลือกของเขา แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นมองไม่เห็นทางเลือกของตัวเอง เพราะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาทักษิณ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนยอมทำใจรับได้กับที่ทักษิณนอนสบายอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่ต้องเข้าคุกมา 4 เดือนแล้ว และยอมรับได้ที่ทักษิณจะไม่เข้าไปอยู่ในคุกแม้แต่วันเดียว เพราะกลัวพรรคก้าวไกลมากกว่า
ฝ่ายอนุรักษนิยมบางคนก็ท้อถอยไปแล้ว เมื่อเห็นเขาเจือสมอำนาจกัน หลายคนไม่สนใจการเมืองอีก หลายคนสวิงไปเลือกพรรคก้าวไกลเสียเลย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯที่เคยเป็นฐานสำคัญของฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นก็สวิงไปเลือกพรรคก้าวไกลกันเกือบทั้งพระนครเหลือให้พรรคเพื่อไทยรอดเข้ามาหวุดหวิดเพียงที่เดียว
แต่มีคำถามว่า จะฝากความหวังไว้กับพรรคของทักษิณในการยันกับความเติบโตของพรรคก้าวไกลไปได้นานแค่ไหน ยิ่งทักษิณยังคงใช้อำนาจแบบอภิสิทธิชนที่เรียกว่าระบอบทักษิณด้วยแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำสร้างความชอบธรรมให้กับพรรคก้าวไกลที่ประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยโดยชูธงการทำลายความเป็นอภิสิทธิชน ความไม่เท่าเทียมกันของคนในสังคม ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็สะท้อนแล้วว่า คนจำนวนมากไม่ได้สนใจว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เขาเทคะแนนให้พรรคก้าวไกลเพราะต้องการความเปลี่ยนแปลง
ซึ่งสะท้อนว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวว่าพรรคก้าวไกลจะเข้ามาทำลายจารีตรากเหง้าและเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐ แต่เขาเบื่อหน่ายกับการเมืองที่เต็มไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจและใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมมากกว่า คนจำนวนมากเลยไปเลือกพรรคก้าวไกลโดยไม่รู้ว่าพรรคส่งใครที่ไหนเคยทำอะไรมาด้วยซ้ำไป
เมื่อมีอำนาจทักษิณก็ใช้อำนาจอย่างไม่บันยะบันยังและไม่สนใจความถูกต้องชั่วดีเหมือนเดิม เป็นมโนทุจริตที่อยู่ในสันดานของทักษิณที่พิสูจน์มาแล้วจากรัฐบาลที่นำโดยพรรคของทักษิณทุกชุด
แต่ก็ต้องยอมรับว่าวันนี้เราฝากประเทศไว้ในมือของทักษิณ ฝากไว้กับพรรคการเมืองของทักษิณที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยเดิมในวันที่มีอำนาจ วันนี้ทุกอำนาจสยบยอมต่อทักษิณหมดแล้ว ก็คงต้องทำใจว่าทำไมวันนี้ทุกระบบของประเทศต่างเกื้อกูลและนิ่งเฉยที่ทักษิณยังนอนสบายในโรงพยาบาลตำรวจกันหมด
ไม่รู้หรอกว่าจะมีคนอีกกี่คนที่เบื่อล้ากับการเมืองและองคาพยพทางการเมืองจนหันไปฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกล เพราะหลงเชื่อนั่นจะเป็นความหวังของประเทศ และทำให้พรรคก้าวไกลเติบโตยิ่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป จนไม่ได้สนใจว่าพรรคก้าวไกลจะนำพาประเทศไปทางไหนหากได้ครองอำนาจรัฐไว้ในมือ
ถ้าได้อำนาจรัฐเราไม่รู้หรอกว่าพรรคก้าวไกลจะนำพาประเทศไปดีกว่าระบอบทักษิณหรือไม่ แต่การเมืองที่เป็นอยู่ก็ทำให้คนจำนวนมากไม่ยั้งคิดและทำใจท้อถอยไปแล้วไม่ว่าประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
กว่าจะรู้ตัวว่าถึงวันที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมทุกอย่างก็อาจจะสายไปเสียแล้วเมื่อเราฝากประเทศไว้กับทักษิณและปล่อยให้ระบอบทักษิณใช้อำนาจอย่างไม่สนใจความถูกต้องเช่นทุกวันนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan