เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากบรรยากาศ อารมณ์ของชาวบ้านส่วนใหญ่เวลานี้แทบไม่เชื่อว่ากรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังดำรงสถานะเป็น “นักโทษเทวดา” ที่สถิตอยู่ ณ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มานานกว่า 120 วันแล้ว จะสร้าง “ภาพลบ” ทั้งต่อตัวเอง ต่อรัฐบาล ต่อพรรคเพื่อไทย ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะภาพของ“อภิสิทธิ์ชน” ความเป็น “คนไม่เท่ากัน” ที่บรรดาคนรุ่นใหม่เรียกร้องมันกำลังเกิดขึ้นให้เห็นอย่างตำตา ตำใจ แม้แต่บรรดาสาวกที่เคยสนับสนุนกันแบบสุดลิ่ม เจอดอกนี้ ถึงเข้าใจยังไงมันก็พูดไม่ออก เถียงไม่ถูก เนื่องจากทุกอย่างมันจำนนด้วยความจริง และมโนสำนึกในตัวเอง
ภาพการ “เอาเปรียบ” สังคม ล้วนปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน อีกทั้งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ยังแสดงให้เห็นถึงความ“เหิมเกริม” ในแบบที่ถูกมองว่า อยู่เหนือกฎหมาย เป็นการสมคบกันทุกหน่วยงานราชการ ตั้งแต่ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จนมาถึงรัฐบาล จนถูกเรียกว่าเป็นขบวนการ “ย่ำยีกระบวนการยุติธรรม” จนป่นปี้
แน่นอนว่า ยิ่งมีการปิดบัง พยายามปิดเงียบ โดยอ้างสิทธิของผู้ป่วยที่ต้องเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้ มันก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยเลยเถิดไปเรื่อยๆ จนถึงขนาดสงสัยว่า เวลานี้นายทักษิณ ยังอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจหรือเปล่า ทำให้เกิดข่าวลือว่าบางครั้งออกไปข้างนอก กลับไปอยู่บ้าน สารพัด เพราะทุกอย่างเมื่อพยายามปกปิดมันก็ยิ่งเกิดข่าวลือ พูดจาปากต่อปากไปเรื่อยๆ
แต่ที่สำคัญ คำถามก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ถึงขนาดต้องใช้เวลารักษาอาการนานเกินกว่า สี่เดือน เพราะหากยังรักษาไม่หาย ย่อมหมายความว่า มีอาการวิกฤติเรื้อรัง หรือไม่ก็โรงพยาบาลตำรวจมีอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ในการรักษาไม่พร้อม หรือไม่ก็แพทย์ไม่มีความสามารถ เพราะให้การรักษาคนไข้มานานกว่าสี่เดือนแล้วไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี คำถามที่สงสัยกันก็คือ ทำไมต้องปกปิด จนกลายสถานะเป็น “เทวดา” และเอาเปรียบคนอื่นในสังคมมากกว่า
กลายเป็นว่าเวลานี้ “กระแส” กดดันพุ่งเป้าไปที่นายทักษิณ ชินวัตร เพิ่มมากขึ้นทุกวัน และมีแนวโน้มสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงรัฐบาล ที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย อีกด้วย เพราะเข้าใจแล้วว่าพวกเขามีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียวกัน
อีกทั้งยังทำให้เข้าใจตรงกันอีกว่า เวลานี้“ระบอบทักษิณ” กำลังฟื้นคืนมาอย่างเต็มระบบอีกแล้ว พิจารณาได้จากตัวบุคคลในรัฐบาล ไล่ลงมาตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่ถูกมองว่าไม่ต่างจาก “หุ่นเชิด” ไม่มีพื้นฐานเป็นของตัวเอง ตัวรัฐมนตรีคนสำคัญ รวมทั้งตำแหน่งทางการเมือง ล้วนเป็นคนใกล้ชิดกับครอบครัวชินวัตร ทั้งสิ้น ทำให้คาดการณ์กันว่า อีกไม่กี่เดือนก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” และอาจถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เป็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของนายทักษิณ ที่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็น “นายกฯเงา”อยู่ในเวลานี้
แน่นอนว่า ความเข้าใจของสังคมย่อมต้องมองออกมาแบบนั้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีหากโฟกัสไปที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาก็ “ต้องดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอด” หรืออยู่ในตำแหน่งให้ได้นานที่สุด มีทางเดียวก็คือ ต้องเร่งสร้างผลงานมากลบ ซึ่งก็น่าจะกลบเกลื่อนได้บางเรื่อง โดยเฉพาะหากเทียบกับ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพราะหากวัดกันจากผลสำรวจล่าสุดที่ออกมา
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566” ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 39.40 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 2 ร้อยละ 22.35 ระบุว่า เป็นนายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 3 ร้อยละ 18.60 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 5.75 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 5 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
จากผลสำรวจดังกล่าวย่อมสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า อันดับหนึ่งเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล แต่ถ้าโฟกัสกันแค่สองคนในพรรคเพื่อไทย ระหว่าง นายเศรษฐา กับ น.ส.แพทองธาร จะเห็น ความนิยม นายเศรษฐา นำโด่ง น.ส.แพทองธาร แบบไม่เห็นฝุ่น แบบนี้ทำให้เขาอาจใจชื้นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็เริ่มมีหลักประกันชั้นหนึ่งว่าอาจได้อยู่ยาวไปอีกสักพักหนึ่ง หากเข็น “อุ๊งอิ๊ง” ไม่ไหว
แต่ถึงอย่างไร หากย้อนกลับมาที่กรณี นายทักษิณ ชินวัตร ที่ตราบใดยังมีตราประทับเป็น “เทวดา” มีอภิสิทธิ์ เอาเปรียบคนอื่นอยู่แบบนี้ มันจะยิ่งกลายเป็น “ตัวถ่วง” รัฐบาล เป็นการสร้างภาระเพิ่มขึ้นทุกวัน กลายเป็นว่ายิ่งใครยิ่งแก้ตัว ยิ่งปกปิด หรือแม้แต่ขู่ฟ้องปิดปากไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์มันก็ยิ่งทำให้เกิด “ผลลบ” ลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับล่าสุดที่ นายเศรษฐา ต้องออกมาพูดตอบคำถาม มีการอธิบายได้มากขึ้น หลังจากก่อนหน้านั้นพยายามเลี่ยงไม่ยอมพูดถึง หรือโบ้ยให้เป็นความเห็นของกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ย่อมปฏิเสธการรับรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้นจึงต้องอธิบายออกมา เพียงแต่ว่าสังคมจะเห็นคล้อยตามหรือเปล่า เท่านั้นเอง
นายเศรษฐา ให้ความเห็นถึงประเด็นของนายทักษิณ ว่า อย่างที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมั่นใจว่าเขาไม่ได้ออกกฎระเบียบมาเพื่อดูแลคนๆ เดียว ต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก รวมถึงเชื่อว่าทั้งสองหน่วยงานจะยึดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย
เมื่อถามถึงความพยายามเชื่อมโยงประเด็นของนายทักษิณมาเป็นเรื่องของการเมือง จะส่งผลต่อการกดดันทางการเมืองในปีหน้าด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทุกเรื่องก็คงเป็นประเด็นการเมืองทั้งหมดหากจะโยงกันจริงๆ แต่เราก็ยึดมั่นในกฎระเบียบที่ไม่ได้ทำมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นไปตามกฎแล้วทุกคนมีสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวโทษ หรือผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจเอง ท่านเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาสองสมัย และเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมา ท่านก็ได้รับการดูแล แต่เชื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกาที่ได้วางกันไว้ ส่วนเรื่องจะมาเป็นประเด็นทางการเมืองมากน้อยขนาดไหนอย่างไร ตนคงไม่ไปทำนายส่วนนั้นได้
“มีปัญหาก็ต้องแก้ไขกันไป มีอะไรไม่กระจ่าง ก็ต้องชี้แจงกันไป แต่เรายึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว”นายเศรษฐา กล่าว
ดังนั้น หากพิจารณาจากคำพูดดังกล่าวมันก็ยิ่งทำให้มองเห็นได้ว่าคำว่า “สองมาตรฐาน” ได้ชัดเจนขึ้นมาอีก เพราะคำว่า “นายกฯสองสมัย” จึงได้รับการดูแล แต่คำถามก็คือ หากมีสถานะนักโทษเด็ดขาด ถูกพิพากษาจำคุกก็ต้องถูกจำคุกในเรือนจำ หรือหากเจ็บป่วยก็ต้องได้รับการรักษาพยาบาลตามสมควร โดยเฉพาะสมควรแก่เวลา ไม่ใช่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกคุมขังแม้แต่วันเดียวแบบนี้ อย่างไรก็ดีกรณีของ นายทักษิณ เชื่อว่าสังคมมองไปทางเดียวกันอยู่แล้วว่านี่คือ “เทวดา” ที่กำลังกลายเป็นสิ่ง “กดทับ”รัฐบาล และนี่คือ ภาระ ที่เพิ่มขึ้นทุกวันหรือเปล่า !!