ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตหันไปสำรวจ ตรวจสอบ “แนวรบยุโรปตะวันออก” กันอีกสักรอบ เพราะเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ใครต่อใครต่างออกมาแสดงความคิด-ความเห็น ตามทัศนะ มุมมอง วิธีคิด ของแต่ละคน แต่ละราย ที่ออกจะน่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจมิใช่น้อย ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ผู้นำเชเชนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับประธานาธิบดีรัสเซียอย่างเป็นพิเศษแถมยังร่วมรบเคียงบ่า-เคียงไหล่กับกองทัพรัสเซีย ในการเปิดฉาก “ปฏิบัติการทางทหาร” ต่อยูเครนตั้งแต่แรก นั่นคือ “นายRamzan Kadyrov” ที่ได้ออกมาทำนาย ทายทัก หรืออาจเรียกว่า “วิเคราะห์” น่าจะเหมาะกว่า ว่า “สงครามยูเครน-รัสเซีย” มีโอกาสที่จะปิดฉาก-ปิดกล่อง ภายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูร้อนของปีหน้า หรือราวๆ เดือนมิถุนายน-กรกฎาคมปี ค.ศ. 2024 น่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
และโดยเหตุ-โดยผล ที่ผู้นำเชเชนรายนี้ นำมาอ้างอิงเอาไว้ในการวิเคราะห์ดังกล่าว ก็คงต้องยอมรับว่าออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย เช่น ประการแรก...อันเนื่องมาจากการ “ขาดคน” หรือขาดบรรดานักรบ ทวยทหาร ที่ต้องล้มตายเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วเป็นแสนๆ นับแต่เริ่มสู้รบกับกองทัพรัสเซียเป็นต้นมา แม้จะป่าวประกาศว่าจะโจมตี-ตอบโต้กับกองทัพรัสเซียอีกครั้งในปีหน้า แต่การระดมผู้คนให้เข้ามาเป็นทหารในกองทัพยูเครนช่วงหลังๆ นี้ เรียกว่า...ถึงขั้นต้องฉุดกระชากลากถูกันกลางถนน รนแคม เอาเลยถึงขั้นนั้น ชนิด “สื่อตะวันตก” ด้วยกันเอง อย่าง “The New York Times” ต้องหยิบไปรายงานเป็นข่าวเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา แถมยังมีภาพถ่ายวิดีโอเป็นเครื่องยืนยันอีกด้วย ดังนั้น...การที่ประเทศซึ่งหลงเหลือจำนวนประชากรอยู่แค่ประมาณ 20 กว่าล้านอย่างยูเครน จะสู้กับประเทศที่จำนวนประชากรกว่า 140 ล้านคนอย่างรัสเซีย ก็เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปฉุดกระชากลากถู ระดมใครต่อใครไม่ว่าเด็ก คนแก่ ผู้หญิง หรือแม้แต่ “คนพิการ” ให้เข้ามาเป็นทหาร เพื่อให้รับหน้าที่ “ไปตาย” จนกว่าจะไม่เหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” นั่นแล...
ประการที่สอง...อันเนื่องมาจากการ “ขาดอาวุธ” ไม่ว่าจะเป็นกระสุนปืนใหญ่ที่กองทัพยูเครนยิงทิ้ง ยิงขว้าง จนผู้ให้การสนับสนุนอย่างบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลายรวมทั้งอเมริกา ถึงกับ “ผลิตไม่ทัน” แม้จะคิดตั้งโรงงานผลิตเอาไว้ภายในประเทศ ระดับคิดจะเป็น “ฮับ” ในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ไปโน่นเลย แต่โดย “กระบวนการ” ของการผลิตสิ่งของอุปกรณ์ประเภทนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่อง “เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ” ซะเมื่อไหร่!!! โอกาสที่จะต้องใช้ช่วงเวลายาวนานเป็นปีๆ หรือนานจนไม่เหลือประเทศยูเครนติดแผนที่อีกต่อไป ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย เช่นเดียวกับการส่งมอบ-รับมอบอาวุธจากตะวันตกไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน รถถัง ระบบป้องกันภัยอากาศยาน จรวด ฯลฯ ก็ต้องใช้เวลาฝึกคน ฝึกการเรียนรู้เทคโนโลยี รวมทั้งการซ่อมแซม บำรุง ฯลฯ จนทำให้การสู้รบกับกองทัพรัสเซียเกิดอาการติดๆ-ขัดๆ มาโดยตลอด แถมบรรดาอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศตัวเองของชาติยุโรปทั้งหลาย ก็แทบไม่เหลือติดคลัง ชนิดอาจต้องหันไปใช้ก้อนหิน ใช้ไม้กระบอง ปกป้องประเทศไปเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนประการที่สาม...ที่น่าจะสำคัญเอามากๆ ก็คือบ่อจี๊ หรือ “ขาดเงิน” นั่นเอง เพราะถ้าว่ากันตามที่อดีตรัฐมนตรีกลาโหมยูเครนเอง “นายAleksey Reznikov” เคยออกมาเปิดเผยกับสำนักข่าว “Ukrinform” ก่อนถูกถีบทิ้ง ทั้งรัฐบาลและกองทัพยูเครนต้องใช้เงินในการสู้กับรัสเซียไม่ต่ำกว่า “วันละ 100 ล้านดอลลาร์” เป็นอย่างน้อย และถ้าว่ากันตาม “คำสารภาพ” ของผู้สนับสนุนตัวหลัก อย่างโฆษกทำเนียบขาว “นางKarine Jean-Piere” เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.นี่เอง เงินที่จะเอาไว้ช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐฯ เหลืออยู่เพียงแค่ 1,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น หรือพอช่วยให้เถลือกไถลไปต่อได้เพียงแค่ 10 วันเท่านั้นเอง โดยเฉพาะถ้าหากงบฯ ช่วยเหลือยูเครนก้อนใหม่ ที่รัฐบาล “โจ ซึมเซา” ขออนุมัติรัฐสภาไปอีก 60,000 ล้าน ยังถูกพวกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล อย่างพรรครีพับลิกันเตะถ่วง หรือยึกๆ ยักๆ ดังเช่นทุกวันนี้ โอกาสที่ทหารยูเครนอาจถึงขั้นต้องสวม “กางเกงลิง” ออกไปรบ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
หรือถึงแม้จะรอเงินช่วยเหลือจากบรรดาประเทศ “NATO” หรือประเทศอียู-อีย้วยทั้งหลาย ที่ประกาศว่าจะเพิ่มเงินช่วยเหลือไปถึง 50,000 ล้านยูโรภายในอีก 4 ปีข้างหน้า แต่ก็เป็นที่รู้ๆ ว่า...บรรดาประเทศยุโรปตะวันตกในแต่ละราย ล้วนแล้วแต่ออกอาการ “บ่อจี๊” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นประเทศเสาหลักอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ไปจนถึง “สุนัขพูเดิลอังกฤษ” ที่ผู้คนถึงขั้น “อดมื้อ-กินมื้อ” ไปแล้วถึงขั้นนั้น แม้ว่าผู้นำหัวล้าน “พิชัย นริพทะพันธุ์แห่งเยอรมนี” อย่าง “นายOlaf Scholz” จะออกมาบอกรัฐสภาว่าอาจต้องใช้ “แผนฉุกเฉิน” ในการผ่านงบประมาณช่วยเหลือยูเครนในปีหน้า หลังศาลเยอรมนีสั่งห้ามไม่ให้นำเงินช่วยเหลืองบฯ Covid ไปใช้แบบอีลุ่ยฉุยแฉก แต่การใช้หัวเถลือกไถลไปกับ “พรมเช็ดเท้า” ของผู้นำรายนี้ ดูจะยิ่งทำให้บรรดาชาวไส้กรอกทั้งหลาย หงุดหงิด รำคาญกับรัฐบาลยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ชนิดถ้าว่ากันตามผลสำรวจ วิจัย ความคิดเห็นล่าสุด ชาวเยอรมันถึง 82 เปอร์เซ็นต์ ต่างไม่คิดจะเอาด้วยกับรัฐบาลไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...
ยิ่งไปกว่านั้น...บรรดาประเทศอียูและ “NATO” ที่พร้อมจะแข็งขืนกับการสูบเอางบประมาณของแต่ละประเทศไปรองรับ “ยุทธศาสตร์พรมเช็ดเท้า” ของชาติยุโรป ก็มีอยู่ด้วยกันมิใช่น้อย ไม่ว่าฮังการีที่นายกรัฐมนตรี “Viktor Orban” ยังคงยืนหยัดยืนยัน ว่าจะใช้ “สิทธิคัดค้าน” ทั้งในเรื่องเม็ดเงินงบประมาณจำนวนนี้ ไปจนถึงการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มอียูของยูเครนอีกด้วยหรือประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เคยเป็นเจ้ากี้-เจ้าการในการจัดส่งเครื่องบิน F-16 สี่ซ้าห้าลำไปให้กับยูเครน แต่ครั้นเมื่อพรรคฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล อย่างพรรค “PVV” ดันชนะเลือกตั้งมีเก้าอี้สูงสุดในสภา จนน่าจะผงาดขึ้นเป็นรัฐบาลกันแทนที่ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หัวหน้าพรรคอย่าง “นายGeert Wilders” ก็ได้ออกมาป่าวประกาศต่อรัฐสภาเมื่อช่วงวันพุธ (13 ธ.ค.) ที่ผ่านมาว่าจะไม่ส่งเงินช่วยเหลือยูเครนเพิ่มเติมเป็นอันขาด อีกทั้งพรรคที่มีแนวโน้มจะได้ร่วมรัฐบาลใหม่ อย่างพรรค “NSC” และพรรค “Farmer-Citizen Movement” ก็ออกจะเห็นพ้องต้องกัน กับว่าที่นายกรัฐมนตรีรายใหม่อีกต่างหาก...
และอาจจะด้วยเหตุนี้นี่เอง!!!...ที่ทำให้บรรดาผู้นำ ผู้บริหารโลกตะวันตกทั้งหลาย จึงต้องออกมากระพือฮือโหมแพร่เชื้อโรค “Russophobia” หรือโรคกลัวรัสเซียกันเป็นแถวๆ ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการ “NATO” “นายJens Stoltenberg” หรือ “คุณป้ามหาภัย” “นางUrsula von der Leyen” ประธานคณะกรรมการสหภาพยุโรป ที่ออกมาประสานเสียงว่า ถ้าหากรัสเซียชนะสงครามยูเครนเมื่อไหร่ โอกาสที่จะหันมาคุกคามบรรดาประเทศ “NATO” หรือ “ปูตินจะไม่หยุดแค่ยูเครนหากได้รับชัยชนะทางทหารจากประเทศนี้” จึงเป็นไปในแบบคอรัส-รัดคอ อย่างเป็นระบบและกิจการ ไม่ต่างไปจากผู้สนับสนุนหลักอย่างคุณพ่ออเมริกา ไล่เรียงกันมาตั้งแต่โฆษกเพนตากอน “นายพลPatrick Ryder” ที่พยายามกระตุ้นให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเร่งผ่านงบฯ ช่วยเหลือยูเครนโดยด่วน ไม่ต่างไปจากรัฐมนตรีกลาโหมผิวสี “พลเอกLloyd Austin” ที่พยายาม “เขียนหมี-ให้วัวกลัว” หรือพยายามสร้าง “ภัยคุกคามรัสเซีย” ให้ดูน่าเกลียด-น่ากลัวยิ่งๆ ขึ้นไป ขณะเข้าไปให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการวุฒิสภา จนวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันถึงกับต้องลุกหนี หรือ “วอล์ค-เอาท์” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไปจนถึงตัวประธานาธิบดี “โจ วิตถาร” หรือ “โจ ซึมเซา” ที่พยายามชี้นำว่ารัสเซียอาจคิดโจมตีบรรดาประเทศ “NATO” เป็นรายต่อไป...
การปลุกกระแสคราวนี้...เลยแทบไม่ต่างไปจากการนำเอาหนังโบราณเรื่อง “The Russians are Coming” กลับมาฉายใหม่นั่นเอง คือไม่ได้ก่อให้เกิดความ “ตื่นเต้น-น่ากลัว” ใดๆ แม้แต่น้อย แต่ออกไปทาง “ตลก-ขบขัน” ซะมากกว่า จนไม่ใช่แค่วุฒิสมาชิกอเมริกันฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลต้องลุกหนีออกไปหัวเราะเท่านั้น แต่กระทั่งบรรดาประเทศ “NATO” ด้วยกันเอง อย่างเช่นรัฐมนตรีต่างประเทศฮังการี “นายPeter Szijjarto” ยังอดไม่ได้ต้องออกมาสวนกลับ ด้วยการสรุปว่ารัสเซียไม่ได้ถือเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อ “NATO” แต่อย่างใด เช่นเดียวกับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ที่ออกมาย้ำไว้อย่างหนักแน่น มั่นคง ว่า “รัสเซียไม่มีเหตุผล ไม่ใส่ใจ และไม่มีความสนใจ ไม่ว่าในทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง หรือการทหารที่จะสู้กับประเทศ NATO” และ “ข้อกล่าวหาที่เหลวไหล” เหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำอเมริกันรู้อยู่แก่ใจ...
ส่วนผู้ที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมยิ่งไปกว่านั้น...ก็น่าจะหนีไม่พ้น “นักรบมืออาชีพ” อย่าง “นายRamzan Kadyrov” ผู้นำเชเชนรายนี้นี่เอง ที่ได้สรุปไว้ว่า...ถ้าหากรัสเซียคิดจะทำลายล้างยูเครนแบบเดียวกับที่อิสราเอลเล่นงานพวกฮามาสแล้ว สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะจบลงภายในแค่ 3 เดือนไม่เกินไปกว่านั้น แต่ด้วยเหตุเพราะ “ผู้นำรัสเซีย...สั่งไม่ให้ทำลายชีวิตของผู้คนพลเรือน ให้พยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีโครงสร้างสาธารณูปโภคและอาคารบ้านเรือน โดยเฉพาะไม่ต้องการให้ยึดกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน แม้จะอยู่ห่างจากแนวรบแค่ 7 กิโลเมตรเท่านั้นเอง!!!”
หรือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...โดยความปรารถนา ความต้องการของผู้นำรัสเซีย อันเป็นที่เปิดเผยและรับรู้กันมาโดยตลอด ซึ่งก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” อย่างผู้นำจีนนั่นเอง คือคงไม่ได้คิดจะบุกเล่นงานบรรดาประเทศ “NATO” หรือคิดจะ “เปลี่ยนยูเครน” ให้ไปเป็นของรัสเซียแต่อย่างใด แต่มุ่งที่จะ “เปลี่ยนโลก” ซะมากกว่า เพื่อให้โลกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวก “โลกขั้วเดียว” หรือพวก “เผด็จการดอลลาร์” กลายเป็นโลกที่พร้อมยอมรับต่อความเป็น “โลกหลายขั้ว” พร้อมอยู่ร่วมกันโดยสันติกับประเทศที่มีความผิดแผกแตกต่างไปจากตัวเอง ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ไม่ว่าประเทศเล็ก ประเทศน้อย ประเทศโลกเหนือ หรือโลกใต้...
ดังนั้น...ในเมื่อการต่อต้าน ปฏิเสธ หรือการ “แซงชั่นรัสเซีย” เหลืออยู่เพียงแค่โลกตะวันตกอย่างอเมริกาและชาติยุโรปอีก 20 กว่าประเทศ ขณะที่ชาติต่างๆ ในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง กลับไม่คิดปฏิเสธรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย หรือขณะที่ประเทศถึง 153 ประเทศ เห็นตรงข้ามกับอเมริกาและอิสราเอล ในกรณี “สงครามกาซา” การ “เปลี่ยนโลก” ของรัสเซียและจีน จึงแทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอาศัย “สงคราม” หรือการบุกเล่นงานประเทศหนึ่ง ประเทศใด เพียงแค่รอวัน รอเวลา รอจังหวะให้บรรดาพวกโลกตะวันตกทั้งหลาย ค่อยๆ “เหี่ยวปลาย” ลงไปเอง อันนี้นี่แหละ...คือกลยุทธ์สำคัญของ “หมากล้อม” ที่ซับซ้อนยิ่งไปกว่า “หมากรุก” หลายต่อหลายเท่า!!!