“พิชัย” หวั่นไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดนาน หลังเงินเฟ้อติดลบ 2 เดือนติดกัน สวนทางเงินเฟ้อโลก ชี้ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยดีขึ้น หลังรัฐบาลใหม่บริหาร แต่ภาพรวมเศรษฐกิจปี 67 ยังหนัก แนะหน่วยงานเศรษฐกิจพูดความจริง และหาทางแก้ไขร่วมกัน
วันนี้ (14 ธ.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงอัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ย. 66 ที่ยังติดลบที่ -0.44% ว่า เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดกันหลังจากเงินเฟ้อในเดือน ต.ค. 66 ติดลบไปแล้วที่ -0.31% และก่อนหน้านี้ ที่อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำมากมาตลอดก่อนหน้านี้ 5 เดือน จนมาติดลบต่ออีก 2 เดือน และยังมีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค. 66 ยังจะติดลบต่อเนื่องอีกเหมือนที่ตนได้เคยเตือนไว้แล้ว
การที่อัตราเงินเฟ้อของไทยติดลบในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐยังอยู่ที่ 3.2% และ ยุโรปยังอยู่ที่ 2.9% แสดงว่า ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแล้ว ซึ่งหากบอกว่าการบริโภคในประเทศยังไปได้ดี อัตราเงินเฟ้อไทยจะต้องใกล้เคียงกับเงินเฟ้อประเทศอื่นไม่ใช่ติดลบ สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อของโลก ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งออกนโยบายต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นโดยเร็ว เพราะหลังวิกฤตไวรัสโควิดผ่านมา 3 ปีแล้ว เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นกลับสู่ที่เดิมในขณะที่ประเทศอื่นฟื้นไปไกลแล้ว อีกทั้งน่ากังวลว่าภาวะเงินฝืดนี้จะอยู่อีกนาน
“เมื่อมองตัวเลขทางเศรษฐกิจจะพบว่า หลังจากรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร แม้จะยังไม่นานนัก ทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
โดยเฉพาะการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ 10 เดือนติดกัน แต่หลังจากรัฐบาลใหม่เข้าบริหารการส่งออกเป็นบวกทันที โดยการส่งออกเดือน ก.ย. 66 ขยายตัว 2.1% และเดือน ต.ค. 66 ขยายตัวได้ถึง 8% ซึ่งช่วยให้การส่งออกของไทยในปี 66 นี้ ไม่ติดลบมากนัก ซึ่งต้องให้เครดิต นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์
ในส่วนการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเกิน 27 ล้านคน แม้จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่เท่ากับในอดีตก่อนวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด แต่ก็ฟื้นตัวในปริมาณที่น่าพอใจ การลงทุนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น บริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทใหญ่ทางเทคโนโลยี มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนในไทยกันมากขึ้นตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงทุนลงแรงเดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปชักชวนด้วยตัวเอง
รัฐบาลยังเร่งแก้ไขหนี้นอกระบบเพื่อลดภาระให้กับประชาชน ขนาดเจ้าหนี้นอกระบบที่มีอิทธิพลต้องออกมาแสดงความเป็นนักเลงทำลายข้าวของลูกหนี้ที่มาแจ้ง รวมถึงการพักหนี้เกษตรกร โดยรัฐบาลจะเร่งการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเพื่อให้สามารถใช้หนี้ได้ การลบประวัติอาชญากรให้กับประชาชนกว่า 9.3 ล้านคน การลดราคาพลังงานทั้งราคาน้ำมัน ราคาไฟฟ้า และ ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม และ ล่าสุดการแก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ที่หลอกลวงประชาชน ทำให้ประชาชนสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก
โดยรัฐบาลได้ให้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และ บริษัทผู้ให้บริการทางโทรคมนาคม ได้ร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อไม่ให้หลอกลวงประชาชนได้อีก โดยได้ออกมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันและแก้ปัญหานี้
ล่าสุด จากการพูดคุยกับเหล่านักธุรกิจและสภาอุตสาหกรรมฯ ต่างเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจปี 67 ในภาพรวมของไทยยังมีทิศทางที่ไม่ดีเลย ทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศรุมเร้า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำมาเป็นระยะเวลายาวนาน ปีนี้ก็ยังคงแย่ น่าจะประมาณ 2% ไม่น่าจะขยายตัวได้ถึง 2.5% แน่ ปีหน้าก็ยังลูกผีลูกคน หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง เมื่อรวมหนี้นอกระบบน่าจะพุ่งเกิน 100% ของจีดีพี และยังต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด ดัชนีหุ้นไทยทำนิวโลว์ในรอบ 3 ปี เงินทุนยังไหลออก ประกอบกับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำ เศรษฐกิจจีนยังย่ำแย่ ยุโรปยังไม่ฟื้น ดอกเบี้ยสหรัฐฯก็ยังจะไม่ลดลงเร็วนัก
“อยากเรียกร้องให้หน่วยงานเศรษฐกิจ ทั้ง ธปท. สภาพัฒน์ ทีดีอาร์ไอ ได้ให้ความจริงแก่ประชาชน อย่าเคยชินกับการพูดเอาใจผู้มีอำนาจเดิมว่าทุกอย่างเป็นไปได้ดี เศรษฐกิจกำลังจะขยายตัวดีขึ้น ทั้งๆ ที่พูดแบบนี้มา 9 ปีแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นสักที ต้องเลิกโกหกตัวเองแล้วร่วมกันหาทางแก้ไขเพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางเป็นประเทศรายได้สูงได้ในอนาคต เพราะถ้ายังเป็นแบบนี้ไม่มีทางเป็นประเทศรายได้สูงได้เลย ประเทศคู่แข่งจะแซงไปกันหมด” นายพิชัย ระบุ.