หน่วยงานที่ดูแลการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ The US Agency for International Development (USAID) ได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า เงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับยูเครนได้หมดลงไปแล้ว ทำให้ยูเครนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับหายนะทางเศรษฐกิจในขณะที่กำลังทำสงครามกับรัสเซีย
“เราไม่มีงบประมาณที่จะช่วยเหลือยูเครนอีกแล้ว” นางอีรีน แมคคี รองผู้อำนวยการของยูเสดกล่าวในระหว่างการให้ถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสภาเซเนท หลังจากที่ยูเสดได้ส่งเงินช่วยยูเครนงวดสุดท้ายของงบประมาณปี 2023 ที่สิ้นสุดลงในเดือนกันยายน
เธอเรียกร้องให้มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือยูเครนเพิ่ม โดยบอกว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะว่ายูเครนจะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ ในขณะที่ต้องทำสงครามกับรัสเซีย
ยูเครนต้องพึ่งพางบประมาณจากสหรัฐฯ เป็นหลักในการจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐ ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมทั้งเงินบำนาญ เพื่อว่างบประมาณแผ่นดินจะใช้ในการทหารทั้งหมด สถานการณ์ทางการเงินที่ร่อแร่เช่นนี้ทำให้มีคำถามว่ายูเครนจะยืดเยื้อสงครามไปได้อีกนานเท่าใด
ในด้านยุทธศาสตร์สงคราม ยูเครนได้พ่ายแพ้ต่อรัสเซียไปแล้ว หลังจากเปิดฉากปฏิบัติการตีโต้ของกองทัพยูเครนที่เริ่มต้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าในการตัดความเชื่อมโยงแผนดินใหญ่ของรัสเซียกับไครเมีย เพราะว่ากองทัพรัสเซียยืนหยัดตั้งรับอย่างเหนียวแน่นด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า และขวัญกำลังใจของทหารที่มากกว่า ทำให้ยูเครนต้องสูญเสียกำลังพลไปมากถึง 90,000 คน
ตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ยูเครนสูญเสียทหารไปแล้ว รวมทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 500,000 นาย ทำให้ประสบกับปัญหาในการเกณฑ์ทหารเพิ่มเพื่อทำสงครามต่อไป ส่วนรัสเซียสูญเสียทหารในอัตราอย่างมากสุด 1:10 ซึ่งโดยมากแล้วไม่ใช่กองกำลังรบหลักของกองทัพรัสเซีย แต่เป็นพวกทหารรับจ้างที่ระดมมาจากแคว้นต่างๆของรัสเซีย รวมทั้งทหารต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของนายโจ ไบเดนยังคงพยายามเดินหน้าที่จะยื้อเวลาให้ความช่วยเหลือต่อยูเครนต่อไป ด้วยการเสนองบประมาณฉุกเฉิน $106,000 ล้านให้สภาคองเกรสอนุมัติ ท่ามกลางกระแสการเมืองภายในจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันที่คัดค้าน เพราะว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ายูเครนไม่มีโอกาสชนะรัสเซียเลย ในขณะที่เกิดสงครามอิสราเอล ทำให้สหรัฐฯ ควรที่จะเน้นการทุ่มทรัพยากรทั้งการเงินและการทหารไปช่วยเหลืออิสราเอลจะเป็นการดีกว่า
ในงบประมาณฉุกเฉิน $106,000 ล้านของไบเดน มีข้อเสนอให้เงิน $30,000 ล้านให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่จะไปซื้ออาวุธไปช่วยยูเครน พร้อมกับสต๊อกอาวุธใหม่ที่หมดไป ยูเครนจะได้รับ $14,400 ล้านเพื่อใช้จ่ายด้านข่าวกรองทางทหาร และอีก $481 ล้านจะเป็นเงินช่วยเหลือชาวยูเครนที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ
ส่วนอิสราเอลจะได้รับเงินช่วยเหลือ $14,300 ล้าน ที่เหลือในข้อเสนองบฉุกเฉินจะเป็นการใช้จ่ายด้านจิปาถะ
ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติเงินช่วยเหลือยูเครนไปแล้ว $113,000 ล้าน ผ่านการตรากฎหมายในสภาคองเกรส 4 รอบ
ล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมากได้โหวตอนุมัติเงินช่วยเหลืออิสราเอลในการทำสงครามกับปาเลสไตน์ $14,000 ล้าน โดยไม่มีเม็ดเงินช่วยเหลือยูเครนเลย แต่ร่างกฎหมายงบประมาณการช่วยเหลืออิสราเอลของฝ่ายเดโมแครตถูกสภาเซเนทตีตกไป เพราะว่าวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการให้งบประมาณรายจ่ายเอาข้อเสนอของไบเดนเข้าไปรวมด้วย
แม้ว่าหนทางที่จะเอาชนะรัสเซียจะมืดมนเต็มที่ นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำของยูเครนยังคงปากแข็งว่า ยูเครนมียุทธศาสตร์ที่จะทำสงครามเพื่อให้ได้ชัยชนะต่อรัสเซีย แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าจะเอาชนะรัสเซียอย่างไร
คำกล่าวของเซเลนสกี้ขัดแย้งกับความเห็นของนายพลวาเลรี ซาลูซห์นยี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครนที่ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Economist เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟมาถึงจุดชะงักงันเหมือนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัสเซียมีโอกาสที่ดีกว่าเนื่องจากมีประชากรมากกว่า และมีทรัพยากรมากมายมหาศาล เขาบอกว่าสงครามยูเครนอาจจะลากยาวไปนานหลายปี และจะทำให้ยูเครนอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีโอกาสที่จะตีโต้กลับไปได้เลย
ข่าวลือเริ่มจะดังหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เซเลนสกี้กับซาลูซห์นยีและคณะนายทหารมีความขัดแย้งกันในแนวทางการรบ และเซเลนสกี้อาจจะถูกรัฐประหารก็ได้ ในขณะเดียวกันเซเลนสกี้ชี้นิ้วไปยังประเทศตะวันตกที่ส่งเงินช่วยเหลือ และอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ยูเครนไม่เพียงพอทำให้ไม่มีความคืบหน้าในการทำสงครามกับรัสเซีย
ซ้ำร้ายเมื่อสงครามอิสราเอลเกิดขึ้น เซเลนสกี้เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังถูกหักหลัง เพราะว่าเงินช่วยเหลือของชาติตะวันตกจะถูกเทไปให้อิสราเอลมากกว่า เพราะว่าอิสราเอลเป็นลูกเมียหลวง (หรืออาจจะเป็นพ่อตัวจริง) ส่วนยูเครนเป็นลูกเมียน้อย
ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียใช้ยุทธวิธีลากเกมสงครามยาว เพราะว่ามั่นใจในแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่า และไม่มีปัญหาทางการเงินเนื่องจากมีรายได้อย่างต่อเนื่องจากการขายพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ได้ในราคาสูง แม้ว่าจะถูกชาติตะวันตกแซงชั่นก็ตาม
ในการทำสงครามกับยูเครน กองทัพรัสเซียเลือกที่จะตั้งรับมากกว่าที่จะยึดครองพื้นที่เพิ่ม หลังจากยึดดินแดนทางตะวันออกและทางใต้ของยูเครนไปแล้วประมาณ 20% ของพื้นที่ทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วดินแดนลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์สัน รวมทั้งไครเมียที่รัสเซียผนวกเอาไปนี้ เคยเป็นดินแดนของรัสเซียมาก่อน แต่สตาลินแบ่งแยกไปให้ยูเครนในสมัยที่ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโซเวียต
กองทัพรัสเซียตั้งแนวรับหลายชั้น แล้วรอให้ทหารยูเครนรุกเข้าไปติดกับดักเครื่องบดเนื้อของรัสเซีย ก่อนที่จะระดมยิงด้วยปืนใหญ่ และขีปนาวุธที่มีปริมาณมากกว่ามาก ทำให้กองทัพยูเครนอ่อนกำลังลงหรือทหารเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากรัสเซียใช้ยุทธศาสตร์ยึดดินแดน จะทำให้ต้องใช้ทหารเป็นจำนวนมาก เพราะว่าพื้นที่ของยูเครนกว้างใหญ่ไพศาล และจะทำให้ทหารรัสเซียตกเป็นเป้าของการโจมตีของยูเครน
เป้าหมายของรัสเซียคือทำลายกองทัพยูเครนให้สิ้น หลังจากนั้นการยึดพื้นที่เพิ่มจะเป็นเรื่องง่าย รัสเซียจะมีอำนาจเหนือกว่าในการเจรจาต่อรองกับมหาอำนาจตะวันตกที่ให้การสนับสนุนยูเครน
ปูตินรู้จิตวิทยาของสหรัฐฯ หรือชาติตะวันตกดีว่า ไม่มีความอดทนในการทำสงครามนาน เมื่อเห็นว่ารบไปแล้ว หรือลงทุนการทำสงครามไปแล้วไม่คุ้มกับต้นทุน จะเลี้ยวถอยหลังทันที อันเห็นได้จากการที่สหรัฐฯ ทำสงครามแบบครึ่งๆ กลางๆ ในตะวันออกกลางที่ผ่านมา โดยที่ผลของความสำเร็จไม่ชัดเจน หรือการถอนทหารอเมริกันอย่างหมดท่าออกจากเวียดนาม หรืออัฟกานิสถาน เนื่องจากเป้าหมายของการทำสงครามไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้น
ในขณะเดียวกัน ปูตินทำสงครามพลังงานกับชาติตะวันตก ด้วยการลดกำลังการผลิตน้ำมันหรือลดการส่งก๊าซให้ยุโรป พร้อมกับจับมือกับซาอุดีอาระเบีย และประเทศผู้ลิตน้ำมันในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน เมื่อซัปพลายน้ำมันลด ราคาน้ำมันมีโอกาสขึ้นสูง ทำให้ยุโรปและสหรัฐฯ มีปัญหาในการแก้ปัญหาวิกฤตพลังงาน และเงินเฟ้อ และทำให้ดอกเบี้ยยากที่จะลดลง เมื่อเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง จะทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินมีปัญหาตามมา
สื่อของตะวันตก รวมทั้งผู้นำของยุโรปมองเหมือนกันว่ายูเครนแพ้รัสเซียแล้วด้านยุทธศาสตร์การทหาร และกำลังเรียกร้องให้ยูเครนยอมเจรจาสงบศึกกับรัสเซีย เพราะว่าเข็นต่อไปไม่ไหว โดยให้ยอมเสียดินแดนในส่วนที่เสียไป ก่อนที่จะเสียดินแดนทั้งหมดให้รัสเซีย ถ้ายังดื้อดึงรบต่อ
แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ปูตินคงเลือกที่จะยึดยูเครนทั้งประเทศมากกว่า ที่จะยึดเสี้ยวหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งของยูเครน เพราะว่าเปิดโอกาสให้ยูเครน และชาติตะวันตกหลายครั้งแล้วให้เจรจาสงบศึก แต่ไม่ยอมกัน นอกจากนี้ ยุโรปและสหรัฐฯ หักหลังหรือบิดพลิ้วสัญญากับรัสเซียมาตลอดในข้อตกลงหย่าศึกยูเครน เพราะว่ามีเป้าหมายที่จะใช้ยูเครนเป็นสงครามตัวแทนเพื่อที่จะทำให้รัสเซียอ่อนแอลง ถูกแซงชั่นจะทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของรัสเซียประสบกับความหายนะ ปูตินจะได้อยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้
เมื่อสงครามอิสราเอลเกิดขึ้นกับกลุ่มฮามาสอย่างไม่คาดฝัน ความสำคัญของยูเครนต่อสหรัฐฯ จึงลดลงไปโดยปริยาย สหรัฐฯ จะมุ่งเน้นในการปกป้องอิสราเอลจากกองทัพพันธมิตรโลกมุสลิมที่เข้ามาช่วยฮามาส และกำลังรุมกินโต๊ะอิสราเอลในเวลานี้ ส่วนปัญหายูเครน สหรัฐฯ จะทิ้งภาระให้ยุโรปดูแลต่อไป
สื่อตะวันตกจึงวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า สงครามฤดูหนาวที่กำลังมาถึงนี้ ยูเครนจะเสียหายหนักยิ่งขึ้นจากการขาดแคลนเงินทอง ทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ ภายในฤดูใบไม้ผลิ รัสเซียคงจะจัดการยูเครนให้อยู่หมัดได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่ายูเครนจะยังคงมีสภาพเช่นไร
“เราไม่มีงบประมาณที่จะช่วยเหลือยูเครนอีกแล้ว” นางอีรีน แมคคี รองผู้อำนวยการของยูเสดกล่าวในระหว่างการให้ถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสภาเซเนท หลังจากที่ยูเสดได้ส่งเงินช่วยยูเครนงวดสุดท้ายของงบประมาณปี 2023 ที่สิ้นสุดลงในเดือนกันยายน
เธอเรียกร้องให้มีการอนุมัติเงินช่วยเหลือยูเครนเพิ่ม โดยบอกว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะว่ายูเครนจะไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ ในขณะที่ต้องทำสงครามกับรัสเซีย
ยูเครนต้องพึ่งพางบประมาณจากสหรัฐฯ เป็นหลักในการจ่ายเงินเดือนพนักงานรัฐ ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมทั้งเงินบำนาญ เพื่อว่างบประมาณแผ่นดินจะใช้ในการทหารทั้งหมด สถานการณ์ทางการเงินที่ร่อแร่เช่นนี้ทำให้มีคำถามว่ายูเครนจะยืดเยื้อสงครามไปได้อีกนานเท่าใด
ในด้านยุทธศาสตร์สงคราม ยูเครนได้พ่ายแพ้ต่อรัสเซียไปแล้ว หลังจากเปิดฉากปฏิบัติการตีโต้ของกองทัพยูเครนที่เริ่มต้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาไม่มีความคืบหน้าในการตัดความเชื่อมโยงแผนดินใหญ่ของรัสเซียกับไครเมีย เพราะว่ากองทัพรัสเซียยืนหยัดตั้งรับอย่างเหนียวแน่นด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า และขวัญกำลังใจของทหารที่มากกว่า ทำให้ยูเครนต้องสูญเสียกำลังพลไปมากถึง 90,000 คน
ตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ยูเครนสูญเสียทหารไปแล้ว รวมทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 500,000 นาย ทำให้ประสบกับปัญหาในการเกณฑ์ทหารเพิ่มเพื่อทำสงครามต่อไป ส่วนรัสเซียสูญเสียทหารในอัตราอย่างมากสุด 1:10 ซึ่งโดยมากแล้วไม่ใช่กองกำลังรบหลักของกองทัพรัสเซีย แต่เป็นพวกทหารรับจ้างที่ระดมมาจากแคว้นต่างๆของรัสเซีย รวมทั้งทหารต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของนายโจ ไบเดนยังคงพยายามเดินหน้าที่จะยื้อเวลาให้ความช่วยเหลือต่อยูเครนต่อไป ด้วยการเสนองบประมาณฉุกเฉิน $106,000 ล้านให้สภาคองเกรสอนุมัติ ท่ามกลางกระแสการเมืองภายในจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันที่คัดค้าน เพราะว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ายูเครนไม่มีโอกาสชนะรัสเซียเลย ในขณะที่เกิดสงครามอิสราเอล ทำให้สหรัฐฯ ควรที่จะเน้นการทุ่มทรัพยากรทั้งการเงินและการทหารไปช่วยเหลืออิสราเอลจะเป็นการดีกว่า
ในงบประมาณฉุกเฉิน $106,000 ล้านของไบเดน มีข้อเสนอให้เงิน $30,000 ล้านให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่จะไปซื้ออาวุธไปช่วยยูเครน พร้อมกับสต๊อกอาวุธใหม่ที่หมดไป ยูเครนจะได้รับ $14,400 ล้านเพื่อใช้จ่ายด้านข่าวกรองทางทหาร และอีก $481 ล้านจะเป็นเงินช่วยเหลือชาวยูเครนที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ
ส่วนอิสราเอลจะได้รับเงินช่วยเหลือ $14,300 ล้าน ที่เหลือในข้อเสนองบฉุกเฉินจะเป็นการใช้จ่ายด้านจิปาถะ
ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติเงินช่วยเหลือยูเครนไปแล้ว $113,000 ล้าน ผ่านการตรากฎหมายในสภาคองเกรส 4 รอบ
ล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรที่พรรครีพับลิกันมีเสียงข้างมากได้โหวตอนุมัติเงินช่วยเหลืออิสราเอลในการทำสงครามกับปาเลสไตน์ $14,000 ล้าน โดยไม่มีเม็ดเงินช่วยเหลือยูเครนเลย แต่ร่างกฎหมายงบประมาณการช่วยเหลืออิสราเอลของฝ่ายเดโมแครตถูกสภาเซเนทตีตกไป เพราะว่าวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการให้งบประมาณรายจ่ายเอาข้อเสนอของไบเดนเข้าไปรวมด้วย
แม้ว่าหนทางที่จะเอาชนะรัสเซียจะมืดมนเต็มที่ นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำของยูเครนยังคงปากแข็งว่า ยูเครนมียุทธศาสตร์ที่จะทำสงครามเพื่อให้ได้ชัยชนะต่อรัสเซีย แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าจะเอาชนะรัสเซียอย่างไร
คำกล่าวของเซเลนสกี้ขัดแย้งกับความเห็นของนายพลวาเลรี ซาลูซห์นยี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครนที่ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Economist เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สงครามระหว่างมอสโกกับเคียฟมาถึงจุดชะงักงันเหมือนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยรัสเซียมีโอกาสที่ดีกว่าเนื่องจากมีประชากรมากกว่า และมีทรัพยากรมากมายมหาศาล เขาบอกว่าสงครามยูเครนอาจจะลากยาวไปนานหลายปี และจะทำให้ยูเครนอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีโอกาสที่จะตีโต้กลับไปได้เลย
ข่าวลือเริ่มจะดังหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เซเลนสกี้กับซาลูซห์นยีและคณะนายทหารมีความขัดแย้งกันในแนวทางการรบ และเซเลนสกี้อาจจะถูกรัฐประหารก็ได้ ในขณะเดียวกันเซเลนสกี้ชี้นิ้วไปยังประเทศตะวันตกที่ส่งเงินช่วยเหลือ และอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ยูเครนไม่เพียงพอทำให้ไม่มีความคืบหน้าในการทำสงครามกับรัสเซีย
ซ้ำร้ายเมื่อสงครามอิสราเอลเกิดขึ้น เซเลนสกี้เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังถูกหักหลัง เพราะว่าเงินช่วยเหลือของชาติตะวันตกจะถูกเทไปให้อิสราเอลมากกว่า เพราะว่าอิสราเอลเป็นลูกเมียหลวง (หรืออาจจะเป็นพ่อตัวจริง) ส่วนยูเครนเป็นลูกเมียน้อย
ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียใช้ยุทธวิธีลากเกมสงครามยาว เพราะว่ามั่นใจในแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่า และไม่มีปัญหาทางการเงินเนื่องจากมีรายได้อย่างต่อเนื่องจากการขายพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ได้ในราคาสูง แม้ว่าจะถูกชาติตะวันตกแซงชั่นก็ตาม
ในการทำสงครามกับยูเครน กองทัพรัสเซียเลือกที่จะตั้งรับมากกว่าที่จะยึดครองพื้นที่เพิ่ม หลังจากยึดดินแดนทางตะวันออกและทางใต้ของยูเครนไปแล้วประมาณ 20% ของพื้นที่ทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วดินแดนลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์สัน รวมทั้งไครเมียที่รัสเซียผนวกเอาไปนี้ เคยเป็นดินแดนของรัสเซียมาก่อน แต่สตาลินแบ่งแยกไปให้ยูเครนในสมัยที่ยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโซเวียต
กองทัพรัสเซียตั้งแนวรับหลายชั้น แล้วรอให้ทหารยูเครนรุกเข้าไปติดกับดักเครื่องบดเนื้อของรัสเซีย ก่อนที่จะระดมยิงด้วยปืนใหญ่ และขีปนาวุธที่มีปริมาณมากกว่ามาก ทำให้กองทัพยูเครนอ่อนกำลังลงหรือทหารเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากรัสเซียใช้ยุทธศาสตร์ยึดดินแดน จะทำให้ต้องใช้ทหารเป็นจำนวนมาก เพราะว่าพื้นที่ของยูเครนกว้างใหญ่ไพศาล และจะทำให้ทหารรัสเซียตกเป็นเป้าของการโจมตีของยูเครน
เป้าหมายของรัสเซียคือทำลายกองทัพยูเครนให้สิ้น หลังจากนั้นการยึดพื้นที่เพิ่มจะเป็นเรื่องง่าย รัสเซียจะมีอำนาจเหนือกว่าในการเจรจาต่อรองกับมหาอำนาจตะวันตกที่ให้การสนับสนุนยูเครน
ปูตินรู้จิตวิทยาของสหรัฐฯ หรือชาติตะวันตกดีว่า ไม่มีความอดทนในการทำสงครามนาน เมื่อเห็นว่ารบไปแล้ว หรือลงทุนการทำสงครามไปแล้วไม่คุ้มกับต้นทุน จะเลี้ยวถอยหลังทันที อันเห็นได้จากการที่สหรัฐฯ ทำสงครามแบบครึ่งๆ กลางๆ ในตะวันออกกลางที่ผ่านมา โดยที่ผลของความสำเร็จไม่ชัดเจน หรือการถอนทหารอเมริกันอย่างหมดท่าออกจากเวียดนาม หรืออัฟกานิสถาน เนื่องจากเป้าหมายของการทำสงครามไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้น
ในขณะเดียวกัน ปูตินทำสงครามพลังงานกับชาติตะวันตก ด้วยการลดกำลังการผลิตน้ำมันหรือลดการส่งก๊าซให้ยุโรป พร้อมกับจับมือกับซาอุดีอาระเบีย และประเทศผู้ลิตน้ำมันในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน เมื่อซัปพลายน้ำมันลด ราคาน้ำมันมีโอกาสขึ้นสูง ทำให้ยุโรปและสหรัฐฯ มีปัญหาในการแก้ปัญหาวิกฤตพลังงาน และเงินเฟ้อ และทำให้ดอกเบี้ยยากที่จะลดลง เมื่อเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง จะทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินมีปัญหาตามมา
สื่อของตะวันตก รวมทั้งผู้นำของยุโรปมองเหมือนกันว่ายูเครนแพ้รัสเซียแล้วด้านยุทธศาสตร์การทหาร และกำลังเรียกร้องให้ยูเครนยอมเจรจาสงบศึกกับรัสเซีย เพราะว่าเข็นต่อไปไม่ไหว โดยให้ยอมเสียดินแดนในส่วนที่เสียไป ก่อนที่จะเสียดินแดนทั้งหมดให้รัสเซีย ถ้ายังดื้อดึงรบต่อ
แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ปูตินคงเลือกที่จะยึดยูเครนทั้งประเทศมากกว่า ที่จะยึดเสี้ยวหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่งของยูเครน เพราะว่าเปิดโอกาสให้ยูเครน และชาติตะวันตกหลายครั้งแล้วให้เจรจาสงบศึก แต่ไม่ยอมกัน นอกจากนี้ ยุโรปและสหรัฐฯ หักหลังหรือบิดพลิ้วสัญญากับรัสเซียมาตลอดในข้อตกลงหย่าศึกยูเครน เพราะว่ามีเป้าหมายที่จะใช้ยูเครนเป็นสงครามตัวแทนเพื่อที่จะทำให้รัสเซียอ่อนแอลง ถูกแซงชั่นจะทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของรัสเซียประสบกับความหายนะ ปูตินจะได้อยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้
เมื่อสงครามอิสราเอลเกิดขึ้นกับกลุ่มฮามาสอย่างไม่คาดฝัน ความสำคัญของยูเครนต่อสหรัฐฯ จึงลดลงไปโดยปริยาย สหรัฐฯ จะมุ่งเน้นในการปกป้องอิสราเอลจากกองทัพพันธมิตรโลกมุสลิมที่เข้ามาช่วยฮามาส และกำลังรุมกินโต๊ะอิสราเอลในเวลานี้ ส่วนปัญหายูเครน สหรัฐฯ จะทิ้งภาระให้ยุโรปดูแลต่อไป
สื่อตะวันตกจึงวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า สงครามฤดูหนาวที่กำลังมาถึงนี้ ยูเครนจะเสียหายหนักยิ่งขึ้นจากการขาดแคลนเงินทอง ทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ ภายในฤดูใบไม้ผลิ รัสเซียคงจะจัดการยูเครนให้อยู่หมัดได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันว่ายูเครนจะยังคงมีสภาพเช่นไร