นับตั้งแต่เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นได้ว่า เขาไม่ค่อยมีความเป็นตัวของตัวเองนัก นับตั้งแต่การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ตอนแรกมีข่าวว่าจะเลื่อนออกไป แต่มีรายงานข่าวว่ามีโทรศัพท์มาถึงเศรษฐา และต่อมาก็สั่งให้ที่ประชุมก.ตร.ต้องเลือก ผบ.ตร.ให้ได้ในวันนั้น ไม่รู้หรอกว่าคนโทร.มาหาเศรษฐาเป็นใคร แต่เห็นได้ว่าน่าจะเป็นคนที่สามารถสั่งการเศรษฐาได้และมีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรี
เราต้องยอมรับนะว่า เศรษฐาเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็เพราะได้ไฟเขียวจากทักษิณ ไม่เช่นนั้นนักธุรกิจที่คนส่วนมากไม่รู้จักมาก่อน นอกจากได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ก็คงไม่มีทางมีวันนี้ได้ แม้ว่าวันนี้ทักษิณจะยังคงอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และในทางนิตินัยจะอยู่ใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์ แต่ไม่มีใครเชื่อหรอกว่า ทักษิณจะไม่มีเสรีภาพในการสื่อสารกับภายนอก
ทักษิณเลือกกลับมาประเทศ เพราะรู้ว่า พรรคการเมืองของเขาจะได้เป็นแกนนำรัฐบาล และเพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลของเขา วันนี้จึงไม่มีหน่วยงานรัฐสนใจว่า ทักษิณจะกลับเข้าคุกจริงๆ หรือไม่ ไม่มีใครกล้าที่จะบังคับใช้กฎหมายจริงๆ เพราะรัฐบาลให้คุณให้โทษกับตัวเองได้ ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า ทักษิณจะนอนสบายอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจจนกว่าจะเข้าเงื่อนไขพักโทษในเดือนกุมภาพันธ์นั่นแหละ
อาจจะมีคนกลุ่มหนึ่งเล็กๆ ที่ใส่ใจติดตามตัวให้ทักษิณกลับเข้าไปในคุก แต่คนส่วนใหญ่พากันนิ่งเฉย เพราะคงยอมจำนนเสียแล้วว่า เมื่อรัฐบาลนี้เป็นของทักษิณก็คงจะไปเอาทักษิณมาเข้าคุกจริงๆ ไม่ได้ นักการเมืองส่วนใหญ่ก็พากันเงียบไปหมด ไม่มีใครตั้งคำถามเลยว่า ทักษิณจะกลับไปนอนคุกไหม เป็นโรคอะไรถึงต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลยาวนานขนาดนี้
เมื่อเศรษฐาเป็นเพียงหุ่นชักของทักษิณก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า เศรษฐาก็จะทำเป็นเฉยเมยเรื่องทักษิณ เพราะจะไปพูดมากก็ไม่ได้ เพราะคนเขาก็รู้อยู่แล้วว่า เศรษฐานั้นอยู่ใต้อาณัติของทักษิณ แม้จะไม่ประกาศชัดเหมือนสมัยยิ่งลักษณ์ว่า ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ แต่สภาพของเศรษฐาในทางพฤตินัยก็คงไม่ต่างกัน
เศรษฐาบอกแล้วว่า เขาต้องขอคำปรึกษาจากทักษิณ แม้พูดแก้เกี้ยวว่าเขาต้องขอคำปรึกษาจากอดีตนายกรัฐมนตรีทุกคน แต่ก็รู้ว่า คำพูดที่เขาต้องฟังก็คือ คำพูดของทักษิณนั่นแหละ ตอนนี้ไม่รู้ว่าทักษิณแอบสั่งการกันลับๆ หรือไม่ แต่รอให้ทักษิณพ้นโทษออกมาก็คงจะรู้ชัดว่า ทักษิณจะมีบทบาทแค่ไหน คนอย่างทักษิณคงไม่อยู่นิ่ง เลี้ยงหลานไปวันๆ อย่างที่ชอบอ้างว่าอยากกลับมาเลี้ยงหลาน
เราเห็นว่าเศรษฐาหลังเข้ามาเป็นนายกฯ นั้นเขาก็แอ็กชันว่า มีอำนาจตัดสินใจในมือ แต่มักจะแสดงออกด้วยการเดินทางไปต่างจังหวัดไปโน่นมานี่อยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ก็ตระเวนไปต่างประเทศเพื่อแสดงบทบาทของนายกรัฐมนตรี แต่มีอำนาจตัดสินใจอะไรจริงๆ หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ เศรษฐา เป็นคนปากไวหรือปากแจ๋ว อันนี้เราเห็นได้ตั้งแต่ก่อนเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ถ้าใครไปติดตามทวีตของเขาก็จะเห็น ล่าสุดที่พลาดอย่างแรงก็คือไปทวีตประณามการโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาส แม้เราจะไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่ปากของคนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องระวังมากกว่านั้น อิสราเอลกับปาเลสไตน์นั้นมีความขัดแย้งกันมายาวนานนับร้อยปี มีการอ้างสิทธิไปมาที่ซับซ้อน ในฐานะรัฐเราไม่ควรเอาตัวไปยืนข้างฝ่ายไหน และยังเป็นสภาวะที่คนไทยยังถูกกลุ่มฮามาสควบคุมตัวไปเป็นตัวประกันจำนวนมากด้วย
ปากเกือบพาจนของเศรษฐาเกือบจะทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งยังดีที่กระทรวงการต่างประเทศต้องรีบแถลงว่าไทยมีความเป็นกลาง ต้องการให้แก้ปัญหาอย่างสันติ และไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงจากทุกฝ่าย ไม่ใช่ไปเลือกประณามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็พอฟังกล้อมแกล้มแก้ปากเสียของเศรษฐาไปได้
อีกเรื่องที่คนเขาสงสัยว่า เป็นความคิดของเศรษฐาหรือไม่ก็นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่จะแจกคนที่มีอายุ 16 ขึ้นไปไม่ว่าจะรวยหรือจนจำนวน 56 ล้านคน ซึ่งต้องใช้เงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท ถึงตอนนี้เท่าที่ฟังแม้เขาร่ำลือกันแล้วว่าจะไปเอาเงินจากธนาคารออมสินเงินออมของเด็ก แต่รัฐบาลก็ยังไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ สถานะอย่างเป็นทางการตอนนี้ก็คือ ยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน เพราะเชื่อว่า ตอนที่คิดนโยบายนี้ไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะหาเงินมาทำนโยบายอย่างไร
แต่พอนักวิชาการค้านเศรษฐาออกมาคัดค้านมากๆ เข้า เศรษฐาก็บอกว่า ยังไงก็ต้องทำเพราะประชาชนมีรายจ่ายเยอะมีภาระเยอะจะไม่มีขวัญกำลังใจทำมาหากิน การลดค่าใช้จ่ายของเราก็เพื่อให้ประชาชนมีขวัญกำลังใจทำมาหากิน แต่ก็มีปัญหาอีกเมื่อมีขวัญกำลังใจแล้วเอาเงินทุนจากที่ไหนคนต่างจังหวัดไม่ได้มีเงินเยอะเหมือนคนที่อยู่บนฐานบนของสังคม
เหมือนกับเศรษฐาฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด เพราะสิ่งที่เขาค้านนั้นเขาไม่ได้ค้านที่จะเอาไปแจกคนจนคนที่ไม่มีกำลังในการทำมาหากิน แต่เขาถามว่า ทำไมต้องแจกแบบเหวี่ยงแห แจกทุกคนไม่เว้นคนรวยหรือคนจน แล้วทำไมต้องแจกตั้งแต่เด็กอายุ 16 หรือว่าเด็กอายุ 16 วันนี้จะเป็นเด็กที่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งในคราวหน้าจึงต้องช่วงชิงจากพรรคก้าวไกลที่เป็นคู่แข่งที่สำคัญ
เขาห่วงว่าเงินมหาศาลขนาดนั้นจะก่อให้เกิดหนี้ที่ส่งผลกระทบไปอีกยาวนาน จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ เงินในกระเป๋าของคนจะลดคุณค่าลง และเสียโอกาสที่รัฐควรจะใช้เงินก้อนนี้ไปลงในโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าหวังผลในระยะสั้นและไม่มีวันเป็นจริง
เศรษฐานอกจากไม่รับฟังกูรูด้านเศรษฐศาสตร์แล้วก็ยังพูดหมิ่นแคลนด้วยว่า เสียงของนักเศรษฐศาสตร์เหล่านั้นก็เท่ากับเสียงของชาวบ้าน 1 เสียง ฟังดูก็จริงนะ ถ้าหมายถึงความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียมกันทางการเมืองที่รัฐต้องรับฟัง
ประชาชนทุกคนเท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์นับร้อยคนเขาเสนอนั้นมันเป็น “ความรู้” มันเป็น “หลักการทางวิชาการ” ที่เขาเล่าเรียนมา มันจึงไม่มีวันหรอกที่ 1 คนจะเท่าเทียมกัน เพราะเรียนและรู้มาไม่เท่ากัน
นี่ต่างหากที่เศรษฐาต้องรับฟัง ไม่ใช่ตีฝีปากแบบเด็กปากแจ๋วว่า พวกท่านก็แค่ 1 เสียง เพราะถ้าอย่างนั้น แม้เศรษฐาเป็นนายกฯ ก็ไม่ต้องรับฟังเพราะมี 1 เสียงเท่ากันเช่นนั้นหรือ แต่เราต้องรับฟังเศรษฐาเพราะเศรษฐามีฐานะเป็นนายกฯ ใช่ไหม
วันนี้เศรษฐาเป็นนายกฯ แม้จะเป็นนายกฯ หุ่นเชิดก็ต้องระวังความปากแจ๋วเอาไว้จะคึกคะนองเหมือนตอนเป็นนักธุรกิจไม่ได้แล้ว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan