หลายคนโดยเฉพาะเบบี้บูมเมอร์ที่อยู่ร่วมยุคร่วมสมัยกับอดีตนักการทูตอเมริกันระดับมือพระกาฬ : ดร.เฮนรี คิสซินเจอร์-ต่างเบือนหน้าหนี และภูมิใจที่ตนไม่มีเพื่อนชื่อ คิสซินเจอร์-หนึ่งในนั้นคือ ส.ว.วาจาจัดจ้านในวุฒิสภาอเมริกัน-เบอร์นี แซนเดอร์ส รวมทั้งปัญญาชนคนดังแห่งเอ็มไอที-นอม ชอมสกี้ (Noam Chomsky) รวมทั้งดาราดังๆ เช่น เจน ฟอนดาเป็นคู่ปรับในแนวคิดเรื่องสงครามเวียดนาม
ในวาระที่ดร.คิสซินเจอร์ มีอายุครบ 100 ปี เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคมนี้ มีทั้งหลายคนที่ออกมาชื่นชมต่อบทบาทการพิทักษ์ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเย็น ที่มองว่า The End Justifies the Means; ขณะเดียวกัน ก็มีหลายคนออกมาถล่มเขาขนาดมองว่า ทำไมเขายังอยู่เป็นอิสระได้ แทนที่จะเป็นอาชญากรสงคราม และควรถูกตัดสินประหารชีวิตไปนานแล้ว กับการฆ่าคนจำนวนมาก ทั้งในที่ลับและในสงครามเปิดเผย
สำหรับพรรครีพับลิกันที่เขาสังกัดอยู่ ชื่นชมในบทบาทที่เขาได้นำทางให้สหรัฐฯ ยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะที่เขาได้เปิดสัมพันธ์กับจีนหลังม่านไม้ไผ่ ด้วยการทำ Shuttle diplomacy (การทูตแบบบินลับๆ...ไปๆ มาๆ ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง) เพื่อจัดให้ปธน.นิกสัน ได้เดินทางไปเปิดสัมพันธ์กับประธานเหมาที่ปักกิ่งได้สำเร็จ เพื่อดึงจีนออกมาจากอ้อมกอดของสหภาพโซเวียต แล้วนำพาจีนออกมาสู่โลกภายนอก จนได้เข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงในองค์การสหประชาชาติ-เข้าแทนที่ไต้หวันอย่างไม่น่าเชื่อในวีรกรรมอันนี้
จนทุกวันนี้ ผู้นำจีนและคนจีนส่วนใหญ่ยังให้ความเคารพและสำนึกในบุญคุณที่ดร.คิสซินเจอร์ได้ทำไว้กับจีน เห็นได้จากบทความในสื่อกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ได้ออกมาเชิดชูดร.คิสซินเจอร์ ในวาระครบรอบวันเกิดปีที่ 100
ดร.คิสซินเจอร์ เกิดที่แคว้นบาวาเรียของเยอรมนีในครอบครัวชาวยิวที่มีฐานะดี และเมื่ออายุได้ 15 ปีก็ได้หลบหนีนาซีฮิตเลอร์มาตั้งถิ่นฐานอยู่สหรัฐฯ ซึ่งทำให้สำเนียงอเมริกันของเขาจะมีกลิ่นอายความหนักเบาแบบภาษาเยอรมันอยู่เต็มที่
เขามีสติปัญญาปราดเปรื่องจนได้เข้าเรียนที่ตักศิลายิ่งใหญ่ของโลกคือ ฮาร์วาร์ด และได้รับเชิญให้สอนที่นั่นหลังจบการศึกษาปริญญาเอก
ด้วยความโดดเด่นของเขา ทำให้ปธน.นิกสัน เลือกเขาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาว (และต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ) ในขณะที่นิกสันเข้ามาบริหารประเทศ ด้วยคำสัญญาช่วงหาเสียงว่า จะต้องจบสงครามเวียดนามให้ได้ (เพราะสงครามเวียดนามได้เริ่มตั้งแต่สมัยของจอห์น เอฟ. เคนเนดี และปธน.ลินดอน จอห์นสัน ซึ่งเป็นปธน.ก่อนนิกสัน) เพื่อนำทหารอเมริกันกลับบ้านเสียที
ดร.คิสซินเจอร์พยายามหาทางให้หยุดยิงในเวียดนาม แต่ก็ได้ยกระดับเพิ่มกองทัพอเมริกัน เพื่อรบไปถอยไป...ขณะที่พยายามจัดให้มีการเจรจาที่ปารีสด้วย...ขณะเดียวกัน เขาก็มีบทบาทสำคัญที่สนับสนุนให้ระดมทิ้งระเบิดอย่างหนักที่เขมรและลาว เมื่อซีไอเอได้พบกองบัญชาการลับของเวียดกงอยู่ที่นั่น...ซึ่งได้รับการต่อต้านจากกลุ่มต่อต้านสงครามไม่เป็นธรรม (ทั้งที่เวียดนาม, เขมร และลาว) ที่สหรัฐฯ เอง จนมีแรงกดดันจากประชาชนอเมริกันไปสู่ ส.ส., ส.ว.ในสภาฯ ให้ยุติสงครามเวียดนามให้ได้ คิสซินเจอร์ก็สามารถบรรลุการตกลงหยุดยิงได้กับ Le Duc Tho ของเวียดนามเหนือ ซึ่งทำให้ทั้งดร.คิสซินเจอร์ และคู่เจรจาจากเวียดนามเหนือผู้นี้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในที่สุด
แต่ที่หลังบ้านของสหรัฐฯ เอง ในช่วงกลางของสงครามเย็น (1960-1970) ในฐานะที่ปรึกษาความมั่นคง ดร.คิสซินเจอร์เป็นผู้ให้ไฟเขียวกับขบวนการขวาพิฆาตซ้าย ซึ่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ได้เกิดการทำรัฐประหารนองเลือดไปทั่วทั้งอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตั้งแต่เม็กซิโกยันชิลีและอาร์เจนตินา; สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนทั้งเงินทองและอาวุธในการปราบปรามขบวนการประชาธิปไตย ด้วยการสนับสนุนทหารเข้าทำการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นฝ่ายซ้าย ไม่ว่าจะเป็นที่ชิลี ที่นายพลปิโนเชต์ ผบ.ทหารบกและรมต.กลาโหมได้สังหารนายแพทย์ซัลวาดอร์ อัลเยนเด (ปธน.จากพรรคสังคมนิยม) พร้อมครม.ของเขาในทำเนียบปธน. ด้วยรถถังและปืนใหญ่ที่ระดมยิงเข้าทำเนียบ; รวมทั้ง Dirty War ที่นายพลทหารของอาร์เจนตินา ปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยม จับ (ถึง 3 พันคน) ทั้งนักศึกษา, ศิลปิน และบาทหลวงคาทอลิกที่ปกป้องประชาชนไปขังและทรมาน จนเดี๋ยวนี้คนที่ตายและทรมานก็สูญหายยังหาศพไม่เจอ เป็นต้น
เหตุการณ์ที่สหรัฐฯ เขาแทรกแซงการเมืองในประเทศโลกที่สาม ไม่เพียงเกิดขึ้นในอเมริกากลางและอเมริกาใต้เท่านั้น แม้ในยุโรปตะวันออกและในเอเชียก็มีร่องรอยของดร.คิสซินเจอร์อยู่เต็มไปหมด ซึ่งเอกสารลับของซีไอเอ, กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ทยอยเปิดเผยออกมา (เพื่อครบกำหนดเวลาของชั้นความลับ) ในเร็วๆ นี้ (2020) ก็ปรากฏในหลายๆ เหตุการณ์ ทั้งที่อินเดีย, ปากีสถาน, ประเทศไทย, อินโดนีเซีย ที่มีร่องรอยของคิสซินเจอร์ทำให้ปราบฝ่ายก้าวหน้าในหลายประเทศ
โดยดร.คิสซินเจอร์มองว่า ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ต้องมาก่อน (แบบโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นเอง) โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม
แม้อายุจะถึง 100 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังดำเนินการเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก และเพิ่งออกมาสนับสนุนบทบาทของจีนที่พยายามหาทางหยุดยิง และเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซีย ด้วยข้อเสนอให้ยูเครนยอมรับว่า การเจรจาหยุดยิงต้องมองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนหลังคือ ไม่ต้องมีเงื่อนไขให้รัสเซียต้องถอนทหารออกจากไครเมียเสียก่อน เพราะรัสเซียยึดไครเมียได้มานานถึง 9 ปีแล้ว!