มอนแทนา กลายเป็นรัฐแรกในอเมริกาที่ออกกฎหมายห้ามการใช้และดาวน์โหลด “ติ๊กต็อก” รวมทั้งบังคับให้ “กูเกิล” และ “แอปเปิล” ต้องถอดแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นนี้ออกจากแอปสโตร์ อย่างไรก็ตาม เกือบจะแน่นอนแล้วว่า จะเกิดการฟ้องร้องเพื่อล้มล้างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถูกประณามว่าละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
กฎหมายฉบับนี้ที่ลงนามรับรองโดยเกร็ก จิอันฟอร์ต ผู้ว่าการรัฐมอนแทนา ที่สังกัดพรรครีพับลิกัน เมื่อวันพุธ (17 พ.ค.) ทำท่าจะกลายเป็นเวทีทดสอบทางกฎหมายสำหรับการแบนติ๊กต็อกทั่วสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกสมาชิกรัฐสภาจำนวนมากในวอชิงตันเรียกร้องกันมากขึ้น
คำสั่งแบนตามกฎหมายฉบับนี้กำหนดว่า ทุกครั้งที่ผู้ใช้เข้าถึง ได้รับการสนับสนุนให้เข้าถึง หรือได้รับการสนับสนุนให้ดาวน์โหลดติ๊กต็อก จะถือเป็นการละเมิดกฎหมาย และการละเมิดแต่ละครั้งจะมีโทษปรับวันละ 10,000 ดอลลาร์
ภายใต้กฎหมายของมอนแทนา ซึ่งมีประชากรกว่า 1 ล้านคนเล็กน้อย แอปเปิล และกูเกิลจะต้องถอดติ๊กต็อกออกจากแอปสโตร์ หากขัดขืนจะถูกปรับรายวันเช่นกัน
กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 เว้นแต่ติ๊กต็อกถูกซื้อกิจการโดยบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศที่ไม่ได้ถูกอเมริการะบุว่า เป็นศัตรูต่างชาติ
อย่างไรก็ดี เกือบจะแน่นอนแล้วว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกยื่นฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอให้พิจารณาว่ากฎหมายฉบับนี้มีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่
คีแกน เมดราโน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (เอซีแอลยู) ประจำมอนแทนา แถลงว่า ผู้นำทางการเมืองของรัฐนี้ใช้ข้ออ้างในการต่อต้านจีนมาเหยียบย่ำเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของชาวมอนแทนานับแสนที่ใช้ติ๊กต็อกเพื่อการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง รวบรวมข้อมูล และทำธุรกิจขนาดเล็ก
ด้านโฆษกของติ๊กต็อกแถลงว่า จิอันฟอร์ตลงนามรับรองกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของชาวมอนแทนาตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมที่ 1 แห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ จากการแบนติ๊กต็อกโดยผิดกฎหมาย
คำแถลงยังยืนยันว่า ชาวมอนแทนายังสามารถใช้ติ๊กต็อกเพื่อแสดงความเป็นตัวของตัวเอง สร้างรายได้ และค้นหาชุมชนที่สนใจ ขณะเดียวกับที่บริษัทจะเดินหน้าปกป้องสิทธิของผู้ใช้ทั้งในและนอกรัฐมอนแทนา และสำทับว่า ในท้ายที่สุดศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าการแบนติ๊กต็อกเช่นนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
กฎหมายฉบับนี้ของมอนแทนา กลายเป็นการประลองกำลังกันครั้งล่าสุดระหว่างติ๊กต็อกกับรัฐบาลของหลายประเทศตะวันตก โดยขณะนี้มีการสั่งห้ามแอปนี้บนอุปกรณ์ซึ่งเป็นของภาครัฐแล้ว ทั้งในสหรัฐฯ แคนาดา และอีกหลายชาติในยุโรป
ติ๊กต็อกเป็นบริษัทในเครือของไบต์แดนซ์ ซึ่งเป็นบริษัทจีน และถูกกล่าวหาจากพวกนักการเมืองอเมริกันว่า อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนและเป็นเครื่องมือในการสอดแนมของปักกิ่ง ทว่า บริษัทปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างเดือดแค้น
ในส่วนจิอันฟอร์ตนั้นทวีตว่า เหตุผลที่ลงนามรับรองให้แบนติ๊กต็อกคือเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของชาวมอนแทนาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน
แม้ได้รับความนิยมล้นหลามโดยมีผู้ใช้ถึงกว่า 150 ล้านรายในอเมริกา แต่ติ๊กต็อกถูกทำเนียบขาวยื่นคำขาดให้แตกกิจการออกจากไบต์แดนซ์ หรือยุติการให้บริการในอเมริกา
ทั้งนี้ จากข้อมูลของพิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ พบว่า 67% ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปีในอเมริกา ใช้ติ๊กต็อก 16% ของวัยรุ่นทั้งหมดบอกว่า ใช้แอปนี้เกือบเป็นประจำ ขณะที่ติ๊กต็อกระบุว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของรัฐสภาสหรัฐฯ ได้เรียก โซว ซื่อชิว ซีอีโอของติ๊กต็อกไปให้ปากคำ โดยที่เขาถูกพวกสมาชิกในคณะกรรมาธิการซักถามไล่ต้อนอย่างหนัก โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ารัฐบาลจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ หรือมีอิทธิพลต่อสิ่งที่ชาวอเมริกันเห็นบนแอปนี้หรือไม่ ทว่าจนถึงเวลานี้เสียงเรียกร้องให้แบนติ๊กต็อกทั่วสหรัฐฯ หรือให้อำนาจใหม่ๆ แก่รัฐบาลไบเดนในการปราบปราม หรือแบนติ๊กต็อกเสียเลย ยังคงไม่มีความคืบหน้าในรัฐสภาสหรัฐฯ
ความพยายามก่อนหน้านี้ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะแบนการดาวน์โหลดติ๊กต็อก และแอปวีแชต ด้วยการออกเป็นคำสั่งของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เมื่อปี 2020 ก็ปรากฏว่าถูกศาลหลายแห่งตัดสินว่าผิดกฎหมาย และไม่เคยมีผลบังคับใดๆ เลย
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)