เป็นอันว่า...ประเทศไก่งวงตุรกี-ตุรเคีย ได้รอดปากเหยี่ยว-ปากกา อย่างชื่นมื่น ชื่นสะดือ อันเนื่องมาจาก “ผลเลือกตั้งรอบ 2” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา คุณลุง “แอร์โดอัน” หรือ “Recep Tayyip Erdogan” ท่านสามารถเฉือนเอาชนะคู่แข่ง คู่ชิง อย่างคุณปู่ “Kemal Kilicdaroglu” มาได้แบบหวุดๆ หวิดๆ หรือประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ กับ 47 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ เลยไม่ต้องเสียเวลาก้าวผิด ก้าวพลาด ก้าวสะเปะสะปะ แบบบ้านเราหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
หรือส่งผลให้ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ต้องออกมาแสดงความยินดีกันแบบฉับพลัน ทันที ด้วยเหตุเพราะถ้าหากไม่มีตุรเคียภายใต้การนำของคุณลุง “แอร์โดอัน” ซะอย่างแล้ว ไม่เพียงแต่โอกาสที่ฟื้นฟูสันติภาพในซีเรียโดยความร่วมมือของรัสเซีย-อิหร่าน ย่อมเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีก แต่การที่คู่แข่ง คู่ชิง ฝ่ายตรงข้ามของคุณลุง “แอร์โดอัน” ท่านคิดจะชักลากประเทศตุรกี-ตุรเคียให้กลับไปสู่ร่มเงาของโลกตะวันตก คิดจะฟื้นฟูสัมพันธภาพกับนาโต ไปจนคิดส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ตามมาตรฐานของชาวยุโรป เพื่อให้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอียูให้จงได้ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่มันทำให้ “การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย” ในทุกวันนี้ เป็นอะไรที่เพิ่ม “อัตราเสี่ยง” ต่อการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในระดับภูมิภาคและระดับโลก ยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะเมื่อโลกทั้งโลกกำลังถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว 2 ฝ่าย อย่างที่เลขาธิการสหประชาชาติ ท่านได้ออกมาร้องเตือนถึง “อันตราย” เอาไว้เมื่อวัน-สองวันนี้...นั่นแล...
แต่ก็นั่นแหละ...สำหรับบ้านเรา ในเมื่อคุณลุง “บิ๊กตู่” ที่อยู่ยาวมาแล้วถึง 8 ปี 9 ปี ท่านกลับไม่แอร์โดอัน หรือแอร์โดกัน มากมายสักเท่าไหร่ ดันไปแพ้ขาดให้กับพวก “คอนด้อมส้ม” อย่างคุณหลาน “พิธา” แบบชนิดแพ้แล้ว-แพ้เลย อันนี้นี่แหละที่มันเลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการก้าวผิด ก้าวพลาด ก้าวสะเปะสะปะ สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย โดยเฉพาะเมื่อ “ว่าที่รัฐมนตรีคลัง” รายใหม่แห่งพรรคก้าวไกล ท่านปรารภ รำพึง ออกมาดังๆ ว่าการที่ “เศรษฐกิจไทย” มีความผูกพันอยู่กับ “เศรษฐกิจจีน” จนเกินไป ส่งผลให้เกิดการ “เสียสมดุล” ทางอำนาจ หรือทางเศรษฐกิจอะไรประมาณนั้น การหวนกลับไปสร้าง “สมดุล” ขึ้นมาใหม่ แบบชนิด “หลังตึง” ไม่คิดจะเป็น “ไผ่ลู่ลม” ต่อไปอีกแล้ว หรือคิดหวนกลับไปหาโลกตะวันตก แทนที่จะผูกติดกับจีนอีกต่อไป จึงเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียว สยดสยอง เผลอๆ หนักซะยิ่งกว่ากรณี “หุ้นไทย” ปักหัวดิ่งแบบไม่ยอมเงยหน้า อ้าปาก อยู่ในทุกวันนี้เอาเลยก็ไม่แน่!!!
เพราะอย่างที่ทราบๆ กันโดยทั่วไปนั่นแหละทั่น...ว่าโดยความเป็นไปของโลก โดยเฉพาะโลกตะวันตกในช่วงนี้ ต่างอยู่ในลักษณะอาการ “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง อย่างเช่นเยอรมนี ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 ของโลก และถือเป็นเสาหลัก เสาค้ำ ของอียูทั้งอียูมาโดยตลอด แต่เมื่อวัน-สองวันนี้ ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ก็เพิ่งยืนยันแบบตรงไป-ตรงมา ว่าผลประกอบการในไตรมาสแรก แสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่าเยอรมนีได้เข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปในระดับ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ชนิดกดยังไงก็กดไม่ลง ราคาอาหารเพิ่มขึ้นกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ ระบบอุตสาหกรรมทั้งระบบพังพินาศกันไปเป็นแถบๆ ส่งผลกระทบยาวไกลไปถึงอิตาลีอย่างที่หนึ่งในคณะผู้บริหารอียู “Paolo Gentiloni” พูดไว้ในเวที “Trento Economic Forum” เมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า “ถ้าหากเศรษฐกิจเยอรมนีไม่โต...นี่เป็นข่าวร้ายของอียูทั้งอียู โดยเฉพาะโรงงานในอิตาลีที่มีความใกล้ชิด เชื่อมโยงอยู่กับโรงงานในเยอรมนีอย่างแยกไม่ออก” หรือย่อมส่งผลให้ประเทศอิตาลีทั้งประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ปาเข้าไปถึงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 144 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพี ย่อมมีอันต้อง “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้!!!
จะหันไปเป็น “พรมเช็ดเท้า” หรือหันพึ่งพาประมุขโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ก็น่าจะลำบากอีก เพราะไม่เพียงแต่ความเป็น “America First” ของผู้นำโลกตะวันตกรายนี้ จะเคยทำให้บรรดาพันธมิตรยุโรปทั้งหลายต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่ามาโดยตลอด แต่ความย่ำแย่ของ “เศรษฐกิจอเมริกา” ที่ทำให้บริษัทจัดอันดับเครดิตไม่ว่ารายไหนต่อรายไหน ต่างหันมา “ปรับลด” ความน่าเชื่อ ความมั่นอก-มั่นใจ กันไปเป็นแถบๆ ข่าวคราวเรื่องภาวะเงินเฟ้อที่กดยังไงก็กดไม่ลง ปัญหาหนี้สินและการขาดดุลการค้า ที่ทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบตกอยู่ในสภาพ “ถึงไม่ตาย...ก็เลี้ยงไม่โต” อยู่แล้วแน่ๆ สถานะเงินดอลลาร์ที่เคยถูกใช้เป็นอาวุธเล่นงานใครต่อใคร ก็มีแต่จะตกต่ำ เสื่อมโทรม ลงไปทุกที ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ “โลกตะวันตก” กลายเป็น “อาทิตย์ยามใกล้อัสดง” ยิ่งเข้าไปทุกที มีแต่ต้องพยายามถอยห่าง ตีกรรเชียงหนี มันถึงจะสอดคล้องกับความเป็นจริงกับ “ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่การหวนกลับไปซบมือ ซบตีน เพื่อให้เกิด “ความสมดุล” อย่างที่พวกเด็กส้ม “คอนด้อมส้ม” คิดเอง เออเองแต่อย่างใด...
ตรงกันข้าม...กับ “โลกตะวันออก” ที่มีแต่จะมาแรงแซงโค้ง ยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะคุณพี่จีนที่แม้ว่าโลกทั้งโลกกำลังเจอกับภาวะ “โตช้า” ทางเศรษฐกิจ ชนิดอาจลากยาวไม่ต่ำกว่า 5 ปี ดังที่กรรมการผู้จัดการ “IMF” ท่านทำนายทายทัก ไว้ก่อนหน้านี้ แต่จีดีพีไตรมาสแรกของจีนปีนี้ยังสามารถ “หักปากกาเซียน” โตไปได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ต่างไปจากบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่อินตะระเดีย ที่ใกล้จะผงาดจากประเทศเศรษฐกิจอันดับ 5 อันดับ 6 ขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ไปจนถึงประเทศกลุ่ม “BRICS” ภายใต้ความร่วมมือของบราซิล-จีน-รัสเซีย-อินเดีย และแอฟริกาใต้ ที่นับวันจะกลายเป็น “เสาหลัก” ของโลก แทนที่กลุ่มประเทศ “คนเคยรวย” อย่าง “G7” ที่ถูกแซงหน้า แซงโค้ง ไปเรียบร้อยแล้ว โดยดูได้จากสัดส่วนจีดีพีที่เพิ่มขึ้นไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก จนทำให้บรรดาประเทศต่างๆ ทั้งหลาย ต่างหันมาสร้าง “ความสมดุล” ด้วยการหันมาคบหาสมาคมกับประเทศกลุ่ม “BRICS” อย่างชนิดหัวกระไดไม่แห้ง แม้แต่ประเทศที่กองพูนไปด้วยเงิน “เปโตรดอลลาร์” อย่างซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังสมัครเข้าไปเป็นหุ้นส่วนรายที่ 10 ของธนาคาร “NDB” (The New Development Bank) ของกลุ่ม “BRICS” ในอีกวัน-สองวันนี้ อันไม่เพียงแต่ช่วยให้การปล่อยกู้ต่อบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย เป็นไปอย่างคล่องเนื้อ คล่องตัว ยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลให้การ “De-Dollarization” หรือการ “ทิ้งเงินดอลลาร์” ของประเทศต่างๆ เป็นไปอย่างถึงไหน-ถึงกัน ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
หรืออย่างที่สื่ออาวุโสของประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกาอย่างเอธิโอเปีย “นายBisrat Melesse” แห่ง “Ethiopia’s Fana broadcasting corporation” ถึงกับปรารภ รำพึง ออกมาดังๆ นั่นแหละว่า... “ขณะนี้ได้เวลาสิ้นสุด ยุติ ของโลกขั้วอำนาจเดียวเรียบร้อยแล้ว นี่คือห้วงเวลาของโลกหลายขั้วอำนาจ และนี่เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาติแอฟริกาทั้งหลาย เป็นโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์กับจีน-รัสเซียและกับโลกตะวันออกทั้งมวล โดยเฉพาะการอุบัติขึ้นมาของประเทศกลุ่ม BRICS ที่ช่วยให้เกิด...ทางเลือก...ในด้านการเงินและความเร็วในการพัฒนาต่อบรรดาประเทศในแอฟริกา เพราะทั้งจีนและรัสเซียได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพร้อมที่จะมอบโอกาสเหล่านี้ให้กับการเติบโตและพัฒนาของเรา...” นี่...อันนี้นี่แหละที่อาจถือเป็น “สมดุล” อันตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง ข้อเท็จจริง ที่มิอาจปฏิเสธได้เลย...
ด้วยเหตุนี้...การคิดหันไปซบมือ ซบตีน หันไปเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับ “โลกตะวันตก” มันจึงไม่น่าจะก่อให้เกิดความสมดุลใดๆ ขึ้นมาได้เลย ไม่ว่าในทางการเมือง หรือเศรษฐกิจก็แล้วแต่ มีแต่จะก่อให้เกิดการ “เสียดุล” ก่อให้เกิดการเตลิดเปิดเปิง เข้ารก-เข้าพง เกิดการ “ก้าวสะเปะสะปะ” ไปตามความ “ไร้เดียงสา” ของพวกเด็กส้ม คอนด้อมส้ม ชนิด “แดงไปทั้งกระดาน” เอาง่ายๆ ด้วยเหตุเพราะการหลับหู-หลับตา กาโน่น-กานี่ โดยไม่ได้สนใจ ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของโลกทั้งโลกให้ถ้วนถี่ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ภายในคูหาเลือกตั้งเพียงแค่ประมาณ 4 วินาที ของบรรดาปวงชนชาวไทยประมาณ 14 ล้านคนนั่นเองหรือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้น เลยทำให้ “ประชาธิปไตย” ในบ้านเรา กลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด “อัตราเสี่ยง” หรือก่อให้เกิด “อันตราย” อย่างน่าขนลุกขนพอง น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง ยิ่งกว่าประเทศไก่งวงตุรกี-ตุรเคีย ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!!!