เห็นข่าวคราวเรื่อง “CEO” แห่งบริษัทสินค้าเทคโนโลยีระดับบิ๊กๆ เบิ้มๆ ของอเมริกา นั่นก็คือ “นายTim Cook” แห่งบริษัท “Apple” ได้เดินทางไปฉลองครบรอบ 30 ปีของการลงทุนในเมืองจีน แถมยังออกอาการกระดี้กระด้าปลาบปลื้ม ชื่นชมและยินดีต่อการ “เดินหน้า” สานสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริการายนี้ ชนิดถึงกับป่าวประกาศเอาไว้เลยว่า “Apple กับจีน...พร้อมที่จะโตไปด้วยกัน” อะไรประมาณนั้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลของตัวเองพยายาม “เตะตัดขา” พยายาม “ขอดเกล็ดมังกร” มาโดยตลอด เรียกว่า...ตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” จนถึงยุค “โจ ซึมเซา” ก็ยังมิวายออกอาการ “แค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่อง” อย่างมิมีวันเลิกราเอาเลยก็ว่าได้...
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เลยคงหนีไม่พ้นต้องขออนุญาตหันไปสำรวจตรวจสอบ ความเป็นไปของพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ที่กำลังผงาดขึ้นมาแทนที่พวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” กำลังคิดจะเปลี่ยนโลก หรือ “เปลี่ยนระเบียบโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ว่าเอาไป-เอามาแล้ว จะมีโอกาสเป็นจริง-เป็นจัง หรือเป็นแค่ “สมรักษ์ คำสิงห์” มาก-น้อยขนาดไหน??? เพราะในระหว่างที่โลกตะวันตก ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาหรือบรรดาพันธมิตรยุโรป ต่าง “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง ไม่ใช่แค่แบงก์ 3 แบงก์ในอเมริกา ออกอาการไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ชนิดอาจส่งผลให้อีกไม่น้อยกว่า 186 แบงก์พลอย “ติดเชื้อ” ตามไปด้วยเอาเลยก็เป็นได้ ส่วนแบงก์ยุโรป อย่าง “เครดิต สวิส” ก็กำลังทำให้ประเทศที่เคยมีสถานะเป็นที่เชื่อถือ ไว้วางใจ ของบรรดาผู้ฝากเงิน ผู้ประกอบธุรกรรมทางธุรกิจทั้งหลาย ต้องกลายสภาพไปเป็น “สาธารณรัฐกล้วยทางการเงิน” ไปจนได้ หรือแม้แต่ “ดอยช์แบงก์” ของเยอรมนี ที่ว่าแข็งแสนแข็ง แกร่งแสนแกร่ง ยังออกอาการป้อๆ แป้ๆ ทำท่าว่าจะหัวทิ่ม-หัวตำซะให้ได้ ส่งผลให้วิกฤตการเงิน-การธนาคารในโลกตะวันตก เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งเข้าไปทุกที นั่นยังไม่นับรวมถึงวิกฤตพลังงาน วิกฤตการณ์ทางสังคม วิกฤตเงินเฟ้อ ฯลฯ ที่ก่อให้เกิดการประท้วง การลงถนน เกิดการ “จลาจล” เผาบ้าน-เผาเมือง ไม่น้อยไปกว่าครั้งที่เกิดการ “เผาไทย” ในบ้านเราเอาเลยก็ว่าได้...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้คงต้องหยิบเอามาเปรียบเทียบ อุปมา-อุปไมย นำมาวัดช่วงชก เทียบน้ำหนักแบบปอนด์ต่อปอนด์ว่าในระหว่างที่ “โลกตะวันตก...กำลังจะล่มสลาย” บรรดาพวก “โลกตะวันออก” หรือ “โลกใต้” หรือพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ทั้งหลายก็แล้วแต่จะเรียก ยังพออยู่ดี-มีสุข หรือไม่? ประการใด? เพราะนั่นอาจถือเป็นคำตอบ คำอธิบาย ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่มหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าจีนและรัสเซีย เขาเพียรพยายามที่จะนำเสนอนับเป็นทศวรรษๆมาแล้วก็ว่าได้ และยังคงเอาจริง-เอาจัง ยังคงมุ่งมาดปรารถนาที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาให้จงได้ไม่ว่าสถานการณ์ความเป็นไปของโลกจะ “ทุรหวนปั่นป่วนคลั่ง” ไปในลักษณะไหนๆ ก็ตามที...
โดยถ้าว่ากันตามความคิด-ความเห็นของพวกผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญ ประเภท “กูรู-กูรู้” ทั้งหลาย...ไม่ใช่แต่เฉพาะ “CEO” ของบริษัท “Apple” เท่านั้น ที่พร้อมจะ “โตไปด้วยกัน” กับประเทศจีน หรือเศรษฐกิจจีน ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะโตประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ภายในปีนี้ให้จงได้ หรือพร้อมจะโตโยต้า โตมิโตซัดดะ แม้ฉากสถานการณ์เศรษฐกิจระดับโลกจะย่ำแย่ลงไปเพียงใดก็ตาม แต่กระทั่งหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีน แห่งบริษัทวาณิชธนกิจระดับโลก “Citi Group” อย่าง “นายXiangrong Yu” ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว “CNBC” ไปเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 มี.ค.) ว่าภายใต้ความทุรหวนปั่นป่วนคลั่งทางเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ ได้ทำให้ประเทศจีนกลายเป็น “สวรรค์...อันปลอดภัย” สำหรับบรรดา “นักลงทุน” ทั้งหลาย ด้วยเหตุเพราะไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศใดๆ ก็แล้วแต่ จะรูดมหาราชลงไปในแบบไหน ในลักษณะใดก็ตาม แต่แนวโน้มที่เศรษฐกิจจีน จะยังคง “ขยายตัว” ยังคงเป็น “ตัวนำแห่งการเติบโต” ที่สามารถสนองตอบความหวัง ความต้องการ ของโลกทั้งโลกได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
และอาจเป็นด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะเก็บไปคิดเป็นการบ้านกันเอาเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศพันธมิตรของคุณพ่ออเมริกา อย่างบรรดาผู้นำประเทศอียู-อีย้วยทั้งหลาย ต่างคิด “เดินทางไปเยือนจีน” กันเป็นเทือกๆ หรือชนิดหัวกระไดไม่แห้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำฝรั่งเศส อย่างประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ที่กำลังเจอคลื่นการประท้วงภายในประเทศด้วยเรื่องเงินๆ-ทองๆ หรือเรื่องการปฏิรูปกฎหมายบำนาญ จนแทบจะ “เอาไม่อยู่” หรือจนต้อง “ถอดนาฬิการาคาแพง” ไม่ให้พวกปากหอย-ปากปูหยิบเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ ระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเอาเลยถึงขั้นนั้น ที่กำลังเตรียมเดินทางไปเยือนจีนในช่วงเดือนเมษาฯ ที่จะถึงใกล้ๆ กับที่ประธานบริหารอียู คุณป้ามหาภัย “นางUrsula von der Leyen” ก็คิดเดินทางไปเยือนจีนในช่วงเวลาเดียวกัน หรือแม้แต่ “นายJosep Borrell” ผู้แทนระดับสูงด้านกิจการต่างประเทศของอียูที่เคยหลุดปากว่าผู้ที่ไม่ใช่ชาวตะวันตก (โลกตะวันตก) เป็นเสมือนคนป่า-คนเถื่อนอะไรประมาณนั้น ก็กำลังแพ็กกระเป๋าเดินทางคิดจะไปเยือนจีนอีกด้วยเช่นกัน ไปจนถึงนายกรัฐมนตรีสเปน “นายPedro Sanchez” ที่ประกาศว่าสัปดาห์หน้าคงต้องหาโอกาสไปดูกำแพงเมืองจีนให้จะจะคาตา ด้วยเหตุเพราะความสนอก-สนใจต่อ “แผนสันติภาพ 12 ข้อ” ของรัฐบาลจีนอย่างเป็นพิเศษ หรือดังที่รัฐมนตรีสำนักนายกฯ สเปน “นายFelix Bolanos” ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเอาไว้นั่นแหละว่า “จีน...คือกุญแจสำคัญในการเป็นตัวกลางของการเจรจาสันติภาพ” การหาข้อยุติต่อความขัดแย้งในแนวรบยุโรปตะวันออกอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
ไม่ต่างไปจากนายกรัฐมนตรีลักเซมเบิร์ก “นายXavier Bettel” ที่ถึงกับต้องออกมาเรียกร้องให้บรรดาประเทศอียู-อีย้วยทั้งหลาย ต้องพยายาม “ใกล้ชิด” กับจีนให้มากๆ เข้าไว้ ด้วยเหตุเพราะ “เรามิอาจสูญเสียจีน...แม้ว่าจีนยังไม่ได้เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ แต่อาจเป็นสิ่งที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของเราไม่วันใด-วันหนึ่งก็เป็นได้” อันถือเป็นการสะท้อนถึงการยอมรับความจริง ข้อเท็จจริง แบบเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ “นายLee Hsien Loong” ผู้ได้เดินทางไปเยือนจีนก่อนล่วงหน้า เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมาที่สรุปไว้กับสำนักข่าว “CCTV” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 มี.ค.) นั่นแหละว่า... “ความขัดแย้งระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกาเป็นราคาที่โลกมิอาจจ่ายได้” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ส่วนคุณน้ารัสเซีย...ที่ถือเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” แบบชนิดไร้ขีดจำกัดของคุณพี่จีนนั้น แม้จะถูกโลกตะวันตก “คว่ำบาตร” ชนิดบาตรแตกไปเป็นใบๆ แต่ด้วยอานิสงส์ในการคบหากับจีนแบบชนิดถึงไหนก็ถึงกัน ย่อมมีส่วนทำให้เศรษฐกิจรัสเซียไม่ถึงกับต้องหัวทิ่ม-หัวตำมากมายเกินไปนัก เรียกว่า...ขณะที่ประเทศอเมริกาและยุโรป รวมหัว รวมตัว กระทำการ “แซงชั่น” รัสเซียอย่างเอาเป็น-เอาตาย แต่เศรษฐกิจรัสเซียที่ยังมีหนทาง “By-pass” ไปยังประเทศเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกาได้แบบสบายๆ กลับเจอภาวะเงินเฟ้อเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ขณะเงินเฟ้อในอเมริกาและยุโรปพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 7 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 15-20 เปอร์เซ็นต์เอาเลยก็ยังมี และการที่ได้อานิสงส์จากการคบหาสมาคมกับจีนระดับไร้ขีดจำกัดที่ว่านี้ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดภาวะอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีเบลเยียม “นายGuy Verhofstadt” เหน็บไว้ในทวิตเตอร์เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ประมาณว่า “ปูติน...กำลังทำให้รัสเซียกลายเป็นรัฐบริวารของจีน” ไปแล้วก็หาไม่เพราะอย่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า ผู้ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ในลักษณะเช่นนี้ “ไม่ใช่เป็นเพราะมีข้อสงสัย...แต่เป็นเพราะความอิจฉาซะมากกว่า” ด้วยเหตุเพราะการค้าระหว่างจีน-ยุโรป เอาไป-เอามายังสูงกว่าจีน-รัสเซีย ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่นั่นกลับส่งผลให้ยุโรปทั้งยุโรป พร้อมเป็นซะยิ่งกว่ารัฐบริวาร หรือพร้อมเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกาแบบชนิดไม่น่าเชื่อแต่คงต้องเชื่อจนได้...
ด้วยเหตุเพราะการคบหาสมาคม ระหว่างจีนและรัสเซียนั้น ถือเป็น “ยุทธศาสตร์” เป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ที่นำไปสู่ความ “Win-Win” หรือชัยชนะด้วยกันทุกฝ่าย ดังที่ทั้งสองฝ่ายพยายามนำเสนอไว้ในสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกแบบใหม่” นั่นเอง คือคงไม่ใช่มีแต่เฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซียเท่านั้น ที่แน่นเหนียว หนึบหนับ จนมิอาจโยกคลอนให้เปลี่ยนไปเป็นอื่น หรืออย่างที่เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย “นายNikolay Patrushev” ได้เปิดอก-เปิดใจไว้กับหนังสือพิมพ์ “Rossiyskaya Gazeta” เมื่อวัน-สองวันนี้นั่นแหละว่า... “รัสเซียจะไม่ปิดกั้นตัวเองจากเศรษฐกิจโลก” หรือรัสเซียยังคง “เปิดกว้าง” ต่อบรรดาชาติที่คำนึงถึงอธิปไตยทางเศรษฐกิจของตัวเองทั้งหลาย...
ไม่ต่างไปจากรองเลขาธิการและอดีตประธานาธิบดีรัสเซีย อย่าง “นายDmitry Medvedev” ที่สรุปไว้ประมาณว่า ถึงแม้รัสเซียต้องเผชิญภาวะสงครามและการต่อต้านของโลกตะวันตกอย่างเอาเป็น-เอาตาย แต่นั่นไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจรัสเซียต้องเปลี่ยนไปสู่ “เศรษฐกิจสงคราม” หรือต้องเน้นหนักใน “อุตสาหกรรมทหาร” แต่เพียงล้วนๆ เพราะรัสเซียยังสามารถสร้าง “จุดสมดุล” ในการพัฒนาเศรษฐกิจ-ความมั่นคงให้ดำเนินควบคู่กันไปได้ ไม่เพียงสัมพันธภาพทางเศรษฐกิจอันแน่นเหนียว หนึบหนับ ระหว่างรัสเซียกับชาติแอฟริกา 40 ชาติระหว่างการประชุม “Russia-African Summit” ที่ถือเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นแบบชัดๆ จะจะ การขยายบทบาททางการเมือง-การค้าของรัสเซีย ไปยังละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง ถึงขั้นใกล้ๆ เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กับซาอุดีอาระเบีย ไม่ใช่แต่เฉพาะอิหร่าน ตุรกี ซีเรีย ฯลฯ แต่เพียงเท่านั้น รวมถึงโครงการความร่วมมือระหว่างรัสเซีย เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ในด้านพลังงานการคมนาคมขนส่งฯลฯ ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอภิมหาโครงการ “One Belt-One Road” ของจีนซึ่งถูกออกแบบ วางแผนไว้นานแล้ว ยิ่งถือเป็นเครื่องตอกย้ำถึง “วิเทโศบาย” ที่ถูกตระเตรียมไว้อย่างประณีต ละเอียดอ่อน สุขุมและรอบคอบ หรือถือเป็น “หมากล้อม” ที่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทั้งสองได้วางไว้รองรับแนวคิดทางยุทธศาสตร์ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโลกมานานนับเป็นทศวรรษๆ ก็ว่าได้ ไม่ต่างไปจากการร่วมมือระหว่าง “ฝ่ายบุ๋น” กับ “ฝ่ายบู๊” อะไรประมาณนั้น ดังนั้น...โอกาสที่ “ระเบียบโลกแบบใหม่” จะอุบัติขึ้นมาแทนที่ระเบียบโลกแบบเดิมๆ อันมีคุณพ่ออเมริกาและชาติตะวันตกเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง จึงอยู่ไม่ใกล้-ไม่ไกล หรือกำลัง “Coming Soon” ในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้...นั่นแล!!!