การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์หนึ่งของพรรคก้าวไกลว่า จะได้ที่นั่งมากขึ้นหรือน้อยกว่าเดิม ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในนามของพรรคอนาคตใหม่นั้น สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้กับสังคมไทยเมื่อได้ที่นั่งทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อถึง 81 คน กลายเป็นพรรคอันดับ 3 ชนะพรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์
ต้องไม่ลืมว่าในครั้งนั้นมีปัจจัยพิเศษคือ การที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบและพื้นที่เหล่านั้นไม่มีพรรคเพื่อไทยส่งสมัครเลย ทำให้มวลชนฝั่งนั้นหันมาเทคะแนนให้พรรคก้าวไกล ที่สำคัญครั้งนั้นพรรคอนาคตใหม่นำโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีกระแสในคนรุ่นใหม่ แต่ครั้งนี้นำโดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่น่าตั้งคำถามว่าจะมีกระแสนิยมเท่ากับธนาธรไหม
แต่เราต้องยอมรับนะครับว่า หากตัดเรื่องที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ออกไป ส.ส.ของพรรคก้าวไกลที่เป็นคนใหม่ทั้งหมด มีหลายคนสามารถแสดงบทบาทในสภาฯ ได้ดีในระดับหนึ่ง แม้ว่าในจำนวนที่ได้เลือกเข้ามาจะมีบทบาทเด่นๆ ไม่กี่คนนอกนั้นกลายเป็นเพียงดาวประดับที่คนไม่รู้จักก็ตาม อาจเพราะในครั้งนั้นพรรคอนาคตใหม่ไม่คาดคิดว่าพรรคจะได้บัญชีรายชื่อมากมายขนาดนั้น คนจำนวนหนึ่งจึงถูกเติมเข้ามาให้เต็มเท่านั้นเอง ตอนนั้นวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ซึ่งกลายมาเป็นดาวเด่นยังถูกจัดวางไว้ในอันดับที่ 34 ด้วยซ้ำไป แต่โชคดีได้เข้าสภาฯ มาฉายแสงดาวสภาฯ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่เข้ามาแล้วเสียของ
เชื่อว่าครั้งนี้พรรคก้าวไกลคงจะสามารถจัดวางขุนพลของพรรคที่เห็นบทบาทแล้วในลำดับต้นๆ ได้มากขึ้น และ ส.ส.ถูกหวยที่ไม่มีบทบาทอะไรเลยคงจะถูกวางเอาไว้ท้ายๆ และครั้งนี้เป็นแบบบัตรสองใบ พรรคก็จะได้ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยลงมาก คาดกันว่าไม่น่าจะถึง 20 คนจากครั้งที่แล้วที่ได้ถึง 50 คน
แต่ด้วยเงื่อนไขที่สุดโต่งผมกาชื่อไว้เลยว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนมาเป็นรัฐบาล พรรคก้าวไกลก็เป็นฝ่ายค้านแน่ อาจจะบอกว่าก็ใช่สิเพราะพรรคก้าวไกลประกาศแล้วว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับ 3 ป.ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ยังไงก็ไม่ร่วมกับขั้วรัฐบาลปัจจุบันแน่ ส่วนกับพรรคเพื่อไทย พิธา พูดเมื่อกลุ่มสามมิตรกลับเข้าพรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนโยบายและจุดยืนของพรรคเพื่อไทยจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีปัญหาอะไรจึงคิดว่าจะยังร่วมมือกันได้
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ศาสดาของฝ่ายที่ต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ส่งคำเตือนถึงพรรคก้าวไกลว่า แม้จะยังอีกสักพักกว่าจะเลือกตั้งผมอยากส่งข้อความถึงก้าวไกลว่า#อย่าเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยเพื่อไทยหรือใครก็ตามเป็นฝ่ายค้านต่อไปจนกว่าเราจะเอาชนะเสียงข้างมากในสภาฯ ได้ ผมเชื่อว่านี่คือความขัดแย้งที่แท้จริงระหว่างพิธากับปิยบุตรเมื่อเร็วๆ นี้#เพื่อเข้าร่วมรัฐบาลคุณจะต้องทิ้งการแก้ 112 และการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสถาบันกษัตริย์อย่ายอม “แลก” กับสิ่งนี้ถ้าคุณตั้งพรรคมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริง
แต่คำถามคือพรรคเพื่อไทยจะเอาพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลไหม
ส่วนตัวผมไม่เชื่อนะครับว่า ทักษิณซึ่งเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยในทางพฤตินัยจะยอมให้พรรคก้าวไกลที่ท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์และยกเลิกมาตรา 112 เพื่อจะได้มีเสรีภาพในการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และรัชทายาท พรรคก้าวไกลยังมีบทบาทสำคัญผ่านสภาฯ ในการอภิปรายเพื่อตัดงบประมาณส่วนพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
และชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลนั้นสนับสนุนข้อเรียกร้องของรุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 10 ข้อที่เธอกล่าวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องต่อพระมหากษัตริย์ที่ท้าทายต่อพระราชอำนาจและได้รับการชื่นชมจากฝ่ายเดียวกันว่า เป็นการทลายเพดานของสังคมไทย
และต่อมาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยเป็นการอ้างสิทธิเสรีภาพเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงหลักเสมอภาคและภราดรภาพการกระทำผู้ถูกร้องมีการตั้งเป็นกลุ่มเครือข่ายและยังมีส่วนในการจุดประกายให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมืองทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองเป็นการทำลายหลักภราดรภาพนำไปสู่การทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“การออกมาเรียกร้องโจมตีในสาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้องใช้ถ้อยคำหยาบคายและยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วยอันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุ
ดังนั้นผมเชื่อว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ต้องเป็นฝ่ายค้านอย่างแน่นอน แม้พิธาบอกว่า พรรคของเขาพร้อมจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่เชื่อว่าทักษิณก็คงไม่พร้อมให้พรรคก้าวไกลเข้าร่วมแน่ หากพรรคของเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงข้างมากของสองสภาได้ เชื่อว่าพรรคที่ทักษิณเลือกลำดับต้นน่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย
อย่าลืมว่า ทักษิณวางเดิมพันใหญ่โดยการส่งลูกสาวลงมาสู้ก็เพื่อเป้าหมายใหญ่ที่ย้ำมาตลอดคือ การจะกลับมาประเทศไทย ซึ่งกางกฎหมายแล้ว ถ้าไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยแบบที่เคยทำในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่องทางที่เหลืออยู่ก็คือ การขอพระราชทานอภัยโทษเท่านั้นเอง
เมื่อไม่กี่วันก่อนแกนนำของพรรคเพื่อไทยอย่างภูมิธรรม เวชยชัย ยังโพสต์เฟซบุ๊กว่า “ฝันของประชาชนกำลังจะเป็นจริง” มิใช่ “ฝันที่เลื่อนลอย” เน้น “สุดโต่งเอามัน” เราจับคำพูดได้เลยว่า สิ่งที่ภูมิธรรมต้องการบอกมวลชนว่าพวกที่เน้นสุดโต่งเอามันก็คือพรรคก้าวไกลนั่นแหละ
การที่พรรคเพื่อไทยต้องบอกอย่างนี้ก็เพราะรู้ว่า ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยทับซ้อนกัน แม้ตอนนี้พรรคเพื่อไทยจะส่งสัญญาณให้มวลชนฝั่งตัวเอง กาบัตรพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบอย่าลังเลเพื่อจะแลนด์สไลด์ให้ได้ เพื่อจะล้มรัฐบาลประยุทธ์ให้ได้ แต่มวลชนจำนวนไม่น้อยยังลังเลว่าจะเลือกพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกลดี พูดง่ายๆ พรรคเพื่อไทยต้องการให้มวลชนฝั่งตัวเองต้องเลือกตั้งในเชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้พรรคเพื่อไทยชนะโดยเด็ดขาด
ผลการเลือกตั้งที่จะออกมาของพรรคเพื่อไทยจะส่งผลสะท้อนที่แปรผันต่อกันถ้าพรรคเพื่อไทยได้มากเหนือความคาดหมายอย่างที่หวังกันไว้จะได้ถึง 310 ที่นั่ง แม้ว่าในความเป็นจริงจำนวนที่พรรคเพื่อไทยหวังนั้นจะยากมาก แต่ถ้าหากได้ที่นั่งเท่านั้นจริงพรรคก้าวไกลก็จะได้น้อยมาก
แกนนำของพรรคก้าวไกลอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล ก็ยอมรับว่า การสร้างกระแสแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยนั้นส่งผลกระทบต่อพรรคก้าวไกล
แม้เชื่อว่าครั้งนี้พรรคก้าวไกลจะต้องสวมบทบาทพรรคฝ่ายค้านต่อไปแน่ๆ แต่ต้องยอมรับว่า ในอนาคตข้างหน้าหากไม่ล้มหายตายจากไปเสียก่อนพรรคนี้จะเป็นพรรคที่ท้าทายต่ออนาคตของสังคมไทย
ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan