ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตวนๆ-เวียนๆ อยู่แถวๆ ประเทศซีเรีย-ตุรเคียต่อไปอีกสักพัก จะเพื่อช่วยส่งหัวจิต-หัวใจ ความเป็นห่วง-เป็นใย หรือพอช่วยเป็น “กำลังใจ” แม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ ก็ยังดี เพราะเห็นว่าตัวเลขผู้สูญเสีย ผู้ที่ล้มหาย-ตายจาก ปาเข้าไปเกือบ “ครึ่งแสน” หรืออาจทะลุไปถึงหลักแสนเอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะยิ่งนานวัน...โอกาสขุดคุ้ยเศษซากปรักหักพังเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมให้ทันท่วงที ทันเวลา มันออกจะลำบากเอามากๆ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เหลือรอดปลอดภัย ก็ใช่ว่าจะหมดทุกข์ หมดโศก ไปเป็นที่เรียบร้อย การขาดแคลนอาหาร พลังงาน ยารักษาโรค ตลอดไปจนที่อยู่อาศัย เผลอๆ อาจต้องเจอกับสิ่งที่มักตามมาหลังภัยพิบัติทางธรรมชาติในลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่า “โรคระบาด”“อาฟเตอร์ช็อก” หรือแม้แต่ “แผ่นดินไหวครั้งใหม่” อันเนื่องมาจากการไหวครั้งแรก มันกลายเป็นตัว “ลั่นไก” สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นต่อเนื่องกันไปเป็นทอดๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
หรืออย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวชาวตุรเคีย... “นายDogan Perincek” เขาออกมาสร้างความขนหัวลุก ขนคอตั้ง ด้วยการเปิดเผยกับสำนักข่าว “RIA Novosti” ของรัสเซียไปเมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า โอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหม่ระดับความแรงถึงราวๆ 7 แมกนิจูด บริเวณด้านตะวันตกของประเทศตุรเคีย หรือแถบๆ เมืองท่า “Canakkale” อาจมีความเป็นไปได้ไม่มาก-ก็น้อย เนื่องจากอาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้มักเกิดเหตุแผ่นดินไหวเป็นรอบๆ ภายในช่วงระยะ 250 ปี โดยแผ่นดินไหวคราวล่าสุด ณ พื้นที่แห่งนี้ก็ผ่านมาแล้วถึง 287 ปี และจากการตั้งฐานสังเกตการณ์อยู่แถวทะเล Marmara จึงทำให้เขาพอได้รับรู้ รับทราบ ถึง “สัญญาณ” แห่งความผิดปกติขึ้นมามั่งแล้ว...
จริง-ไม่จริง...แต่คงต้องขอภาวนาให้ “ไม่จริง” เอาไว้ก่อนนั่นแหละดี!!! เพราะความทุกข์ ความเดือดร้อน ของผู้ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวคราวนี้ ต้องเรียกว่า...ครอบคลุมไปถึงผู้คนไม่น้อยกว่า 23 ล้านคนเอาเลยทีเดียว โดยเฉพาะประเทศซีเรีย ที่แม้จำนวนผู้บาดเจ็บ ล้มตายน้อยกว่าตุรเคียหลายเท่า แต่ด้วยเหตุเพราะก่อนหน้านั้นต้องเจอ “สงครามกลางเมือง” มาโดยตลอดช่วงระยะประมาณ 12 ปี เมื่อดันต้องเจอกับ “แผ่นดินไหว” เข้าไปอีกดอก สภาวะความเป็นไปในช่วงระยะนี้เลยน่าจะเป็นอย่างที่ตัวแทน “UNHCR” คุณ “Sivanka Dhanapala” ท่านสรุปไว้เมื่อช่วงวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว (10 ก.พ.) นั่นแหละว่า...ถือเป็น “วิกฤตในวิกฤต” เอาเลยก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้...ด้วยเหตุเพราะสงครามกลางเมืองที่คุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกพยายามหนุน พยายามเชียร์ ให้ชาวซีเรียด้วยกันเอง (รวมทั้งผู้ก่อการร้าย) ช่วยกันรุมหักโค่นรัฐบาลประธานาธิบดี “al-Assad” ลงไปให้จงได้ ได้ก่อให้เกิดความบ้านแตก สาแหรกขาด ผู้คนพลัดที่นา-คาที่อยู่ ไม่มีที่อยู่อาศัยไม่น้อยไปกว่า 6.8 ล้านคนมาแล้วก่อนหน้านั้น ยิ่งต้องเจอกับภัยพิบัติธรรมชาติซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ส่งผลให้ผู้คนอีกประมาณ 5 ล้านคนเป็นอย่างน้อย ต้องหันมานอนกางเต็นท์ ท่ามกลางอุณหภูมิอากาศที่หนาวยะเยือกก์ก์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แถมยังถูก “ปล้น” น้ำมัน-ข้าวสาลี ถูก “แซงชั่น” จากคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก อย่างไม่คิดจะบันยะบันยังเอาเลยแม้แต่น้อย อันนี้นี่เอง...เลยถือเป็น “วิกฤตในวิกฤต” หรือ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ที่น่าเป็นห่วง เป็นใย เอามากๆ...
ว่าไปแล้ว...เหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” ในพื้นที่แถบนี้ ถ้าลองไล่เรียงประวัติศาสตร์ดูแล้ว คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า มันออกจะหนักหน่วง รุนแรง และต่อเนื่องกันมาโดยตลอด จะด้วยเหตุเพราะ “แผ่นเปลือกโลก” ในพื้นที่บริเวณนี้มันออกจะซ้อนทับ ก่ายกันไป-ก่ายกันมา หรือไม่? อย่างไร? ก็ยากสรุปได้ชัดเจน แต่ถ้าไล่เรียงมาตั้งแต่ครั้ง “แผ่นดินไหวแอนติออค” เมื่อปี ค.ศ. 526 (Antioch Earthquake 526 A.D.) ครั้งนั้นก็เล่นเอาผู้คนล้มตายไม่น้อยไปกว่า 250,000-300,000 คน และอีกแค่ 20 ปี หรืออีก 2 ทศวรรษต่อมา “แผ่นดินไหวเบรุต” ปี ค.ศ. 551 (Beirut Earthquake 551 A.D.) ด้วยระดับความแรงประมาณ 7.6 แมกนิจูด ก็เล่นเอาคนตายรวดเดียวไปถึง 30,000 คน จนกระทั่งอีก 200 ปีต่อมาก็ต้องเจอกับ “แผ่นดินไหวกาลิลี” ปี ค.ศ.749 (Galilee Earthquake 749 A.D.) บรรดาเมืองต่างๆ ตลอดแนวตะวันตกของอาณาบริเวณทรานส์จอร์แดน ไปจนทั่วพื้นที่เมืองท่าริมฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หรือที่เรียกๆ กันว่า “เลแวนต์” (Levant) ต่างพังพินาศไปเป็นแถบๆ ทิ้งระยะไปอีกร้อยปี ยังเจอกับ “แผ่นดินไหวดามัสกัส” ปี ค.ศ. 847 (Damascus Earthquake 847 A.D.) ที่ทำให้ผู้คนล้มตายเกือบๆ หลักแสนอีกเช่นกัน ต่อมาอีกประมาณ 300 ปีหลังจากนั้น ต้องเจอกับแผ่นดินไหวระดับหนักหนา-สาหัสเอามากๆ คือ “แผ่นดินไหวอเลปโป” ปี ค.ศ. 1138 (Aleppo Earthquake 1138 A.D.) ที่ถือเป็นแผ่นดินไหวระดับต้นๆ ของโลก คือส่งผลให้ผู้คนล้มตายถึง 230,000 คนเป็นอย่างน้อย ตามด้วย “แผ่นดินไหวซีเรีย” ปี ค.ศ. 1202 (Syria Earthquake 1202 A.D.) ที่แม้จะคร่าชีวิตผู้คนในช่วงระยะแรกๆ ไปประมาณ 30,000 คน แต่จะด้วยการปล่อยปละละเลยการไม่เตรียมป้องกันเอาไว้ให้รัดกุมหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ ส่งผลให้เกิด “โรคระบาด” แพร่กระจายคร่าชีวิตผู้คนไปอีกถึง 1,100,000 คน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อันนี้...จะถือเป็นเคราะห์หาม-ยามร้าย เป็น “โชคชะตา-ฟ้าลิขิต” ของผู้ที่ดันต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะไปนั่งคิด-นอนคิดตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ยังไงๆ ก็มิอาจปฏิเสธได้...ก็คือบรรดา “มวลมนุษย์” อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลายนี่แหละ ย่อมมักต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพัน ไม่ว่าในฐานะเป็นตัวเร่ง ตัวกระตุ้นให้บรรดา “ภัยพิบัติธรรมชาติ” เหล่านี้ มีอันต้องอุบัติขึ้นมาในทางใด-ทางหนึ่ง ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามที เช่น การสร้างมลพิษ มลภาวะ ที่ทำให้โลกร้อนขึ้นๆ จนน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เกิดการเพิ่มระดับของปริมาณน้ำในมหาสมุทร เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อแรงกดทับและการเคลื่อนที่ของ “ธรณีภาค” (lithosphere) หรือแผ่นเปลือกโลก การมุ่งที่จะขุด เจาะ สูบ ดูดหรือทะลุทะลวงผืนแผ่นดิน เพื่อนำเอาทรัพยากรธรรมชาติชนิดต่างๆ ไม่ว่าเพชรนิลจินดา ทองคำ เงิน แร่ธาตุแต่ละชนิดไปจนถึงถ่านหิน น้ำมัน และแก๊ส ฯลฯ มาใช้ประโยชน์อย่างชนิดไม่คิดจะบันยะบันยัง จนเกิดการทำลายระบบ “นิเวศน์ใต้ดิน” การสร้างเขื่อนสูงๆ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตผู้คนกันเป็นเมืองๆ ที่ก่อให้เกิดแรงกระทำต่อรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ไปจนถึงการเกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...ฯลฯ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ตัวเลขสถิติของอุบัติการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ๆ ของโลก ที่ถูกรวบรวมโดย 2 นักธรณีวิทยาแห่งองค์กร “USGS” (U.S. Geological Survey) อย่าง “นายTom Parson” และ “นายEric Geist” หนีไม่พ้นต้องสรุปว่า แนวโน้มที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแบบถี่ขึ้น แรงขึ้น แถมไหวในระดับตื้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กำลังปรากฏให้เห็นในแทบทุกซีกโลก โดยได้ตีพิมพ์ เผยแพร่ ความเห็นดังกล่าวไว้ในเว็บไซต์ “Journal Geophysical Research Letter” เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2014 ด้วยการแจกแจงให้เห็นว่าแผ่นดินไหวที่มีระดับความรุนแรงเอามากๆ หรือระดับตั้งแต่ 7.0 แมกนิจูดขึ้นไป ที่เคยเกิดขึ้นประมาณ 15 ครั้ง ในระหว่างปีค.ศ. 1986-1996 แต่นับจากปี ค.ศ. 1997-2007 ตัวเลข สถิติมันเพิ่มพรวดๆ พราดๆ ถึง 6 เท่า หรือประมาณ 99 ครั้งหรือถ้านับย้อนไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา แผ่นดินไหวระดับ 7.0 แมกนิจูดที่เคยเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี พอมาถึงปี ค.ศ.1992 เพิ่มขึ้นเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี หลังจากนั้นเพิ่มเป็น 16.7 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในปีค.ศ. 2010 โดยถ้านับจากปี ค.ศ. 1979-2014 อัตราเพิ่มขึ้นของแผ่นดินไหวระดับ 7.0 แมกนิจูดขึ้นไป เพิ่มขึ้นถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
แต่ทำไงได้...ในเมื่อโลกทั้งโลกมัน “ไหล” ไปในแนวนี้มานานแล้วอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ชนิดที่ทำให้พวกนักคิดนักวิทยาศาสตร์เขาเลยต้องหมุนตัวเลข “นาฬิกาวันสิ้นยุค” (Doomsday Clock) จากที่เคยเหลือเวลาอยู่ประมาณ 5 นาทีให้เหลือเพียงแค่ 90 วินาที หรือนาทีกว่าๆ เท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตนำเอา “คำเตือน” หรือ “คำพยากรณ์” ของ “พระเยซูคริสต์” ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล บท “มาระโก 12:38” มาใช้เป็นเครื่องเตือนใจ หรือเครื่องปลอบประโลมใจก็แล้วแต่จะคิด อันมีข้อความดังต่อไปนี้... “เมื่อพระองค์ (พระเยซู) ประทับบนภูเขามะกอกเทศ ตรงหน้าพระวิหารเปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ มากราบทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า เหตุการณ์เหล่านี้ (วันสิ้นยุค) จะบังเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สิ่งไรจะเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะสำเร็จ (จะเกิดขึ้น) พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า...ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคน ต่างอ้างนามของเราว่าเราเป็นผู้นั้น และทำให้คนเป็นอันมากหลงไป ดังนั้น...เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม จงอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยังมาไม่ถึง เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ และจะเกิดกันดารอาหาร แต่บรรดาเหตุทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ เป็นเพียงแค่...ขั้นแรก...แห่งความทุกข์ลำบาก” นี่...ฟังแล้ว พอช่วยให้เกิดความสบายอก-สบายใจ หรือต้องหันมาหาทาง “ทำใจ” ก็ลองไปนั่งนึกตรึกตรอง เอาเองก็แล้วกัน...