xs
xsm
sm
md
lg

มหาอำนาจโลกขั้วใดจะเข้าวินในระบบการเงินโลก Bretton Woods III

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทนง ขันทอง



อ้างอิง: Zolton Pozsar: We are witnessing the birth of a new world monetary order (Credit Suisse, 21/3/2022)

หลังจากสงครามใหญ่รอบนี้สิ้นสุดลง จะเป็นการปิดฉากของอิทธิพลของยูเอสดอลลาร์ เงินตราจะไม่มีความหมายเหมือนเดิมอีกต่อไป ทองหรือสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) จะกลับมามีบทบาท หรือทำหน้าที่ของเงินที่แท้จริง

คำกล่าวนี้เป็นบทสรุปของนายโซลตัน พอซซาร์ Zoltan Pozsar นักยุทธศาสตร์ของ Credit Suisse และในอดีตเคยทำงานให้ไอเอ็มเอฟ และ Federal Reserve Bank ที่นิวยอร์ก โดยเขาได้เขียนบทความ Bretton Woods III ที่กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนในโลกการเงินไปจนถึงฐานราก

วิกฤตการณ์เงินเฟ้อในโลกตะวันตก และราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่กำลังพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระเบียบการเงินโลกใหม่ ที่ท้ายที่สุดแล้วจะทำให้โลกมีมหาอำนาจหลายขั้ว ระบบดอลลาร์จะอ่อนแอลง หรือหมดอิทธิพลไป ในขณะที่ระเบียบการเงินโลกของกลุ่มบริกส์ (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) จะผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง

นายพอซซาร์ทำนายว่า โลกกำลังเข้าสู่ระบบการเงินใหม่ หรือ Bretton Woods III โดยที่ทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์จะกลับมาทำหน้าที่สำคัญในการหนุนค่าเงิน ในขณะที่โลกตะวันตกไม่มีทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์ แต่รัสเซียและจีนมีทำให้ระเบียบการเงินโลกใหม่จะถูกกำหนดโดยมหาอำนาจโลกตะวันออก

ย้อนกลับไปดูตำนานของระบบการเงินโลก Bretton Woods I (ค.ศ. 1944-1971) คือข้อตกลงทางการเงินระหว่างประเทศที่ตัวแทนกว่า 700 คนจาก 44 ประเทศมาประชุมกันที่ Mount Washington Hotel ที่ Bretton Woods รัฐ New Hampshire ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1944 เพื่อกำหนดระบบการเงินโลกใหม่ เพื่อทดแทนระบบการเงินเดิมที่ล่มสลายจากความเสียหายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การกำกับของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ชนะสงครามโลก

ตามข้อตกลงนี้ ค่าเงินดอลลาร์จะผูกกับทองคำที่อัตรา $35 ต่อออนซ์ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ซึ่งเรียกว่าระบบมาตรฐานทองคำ (gold standard) ประเทศต่างๆสามารถเอาค่าเงินของตัวเองมาผูกกับดอลลาร์ ซึ่งจะเทียบเท่ากับการผูกค่าเงินกับทองคำอีกต่อหนึ่งโดยปริยาย ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่เคลื่อนไหวหวือหวาอีกต่อไป และช่วยป้องกันไม่ให้ประเทศต่างๆ มีการแข่งกันลดค่าเงินเพื่อหนุนการส่งออกของประเทศตัวเอง

สหรัฐฯ มีทองคำสำรอง 20,000 กว่าตัน หรือ 2 ใน 3 ของทองคำสำรองของโลก เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่เท่ากับครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่สองในเวลานั้น ทำให้ดอลลาร์กลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก สหรัฐฯ จึงผงาดขึ้นมาเป็นเจ้ามือใหญ่ในระบบการเงินโลก และเป็นมหาอำนาจโลกแต่ผู้เดียว

สหรัฐฯ และอังกฤษเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งยูเอ็นเพื่อต้อนให้ทุกประเทศเข้าไปอยู่ในคอกเดียวกันทางการเมือง ตามมาด้วยตั้งธนาคารโลกเพื่อปล่อยกู้ดอลลาร์ให้ประเทศต่างๆ เพื่อเอาไปฟื้นฟูประเทศ และติดกับดักหนี้ดอลลาร์ พร้อมกับตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศสอดส่องความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน และเพื่อปล่อยกู้ดอลลาร์ให้กับประเทศที่เจอต้มยำกุ้ง หรือเกิดวิกฤตทางการเงิน เงินทุนไหลออก ค่าเงินตกต่ำ มีหนี้สินล้มละลาย โดยมีเงื่อนไขให้ขายธนาคารที่อ่อนแอ แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เปิดเสรีทางเศรษฐกิจเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ

Bretton Woods II (1971-ปัจจุบัน) เกิดขึ้นในปี1971 ในสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่มีการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีวินัยการเงินการคลัง มีการใช้จ่ายงบประมาณเกินตัว ค่าใช้จ่ายในการก่อสงครามเวียดนามพุ่งกระฉูด ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ประเทศต่างๆ ที่ถือครองดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกิดความไม่มั่นในเสถียรภาพของเงินดอลลาร์ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมามากเกินสำรองของทองคำ เพื่อหนุนการใช้จ่ายงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ

ทองคำสำรองของสหรัฐฯ ค่อยๆ หดลงไป เพราะว่าผู้ถือครองดอลลาร์เอาดอลลาร์ไปแลกทองคำ จนสำรองทองคำของสหรัฐฯ หดลงจาก 20,000 ตัน เหลือ 8,133 ตัน

ฝรั่งเศสในสมัยประธานาธิบดีชาร์ล เดอ โกลพยายามเอาดอลลาร์ไปแลกทองคำกับธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ถูกปิดหน้าต่างแลกทองใส่หน้าโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ พูดง่ายๆ ว่าสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนั้นจากการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ

ตั้งแต่นั้นมาโลกเราเข้าสู่ยุคการเงินกระดาษ (fiat money) หรือระบบมาตรฐานดอลลาร์ (dollar standard) ทั้งที่ดอลลาร์ไม่ได้มีมาตรฐานอะไร เพราะว่าไม่มีทองคำหรือทรัพย์สินใดๆ หนุนหลัง

สหรัฐฯ เดินหน้าพิมพ์ดอลลาร์เปล่าๆ ออกมาจากกลางอากาศเพื่อใช้จ่ายเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยสหรัฐฯ ใช้แสนยานุภาพทางทหารบังคับโดยตรงและโดยอ้อมให้ทุกประเทศในโลกถือดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเหมือนเดิมต่อไป หรือให้ใช้ดอลลาร์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในโลก พร้อมกับอ้างว่าดอลลาร์แม้ว่าจะไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่อิงกับความศรัทธาและเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ (full faith and credit) ที่มีความสามารถในการเก็บภาษีเพื่อที่จะคืนหนี้ที่ออกมาในรูปสกุลเงินโดยดอลลาร์

สหรัฐฯ ก่อหนี้ต่อเพื่อใช้จ่ายทางทหารเพื่อรักษาสถานภาพการเป็นมหาอำนาจโลกต่อไป พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasuries) หรือ IOU กลายเป็นทรัพย์สินเกรด AAA ที่มั่นคงที่สุดในโลก ที่ประเทศทั่วโลกต้องถือครองเพื่อสะสมความมั่งคั่งในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และเอามาหนุนค่าเงินของตัวเอง

ใน Bretton Woods I ทองคำเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (collateral) แต่ใน Bretton Woods II มีการเอาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันแทนทองคำ ทั้งๆ ที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนี้ ที่มีความเสี่ยงว่าอาจจะมีการผิดนัดชำระหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ได้ แต่ทองคำไม่มีความเสี่ยงของการผิดนัดชำระหนี้ เพราะว่าทองคำเป็นเงิน หรือมันนี่ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ใด

ระบบแบงกิ้งของโลกก็ใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันชั้นยอดในการกู้ยืมเงินระหว่างกัน หรือกู้ยืมเงินระหว่างประเทศ เมื่อเวลาผ่านไป ทองคำกลายเป็นโลหะที่เปล่าประโยชน์ ในขณะที่ดอลลาร์กลายเป็นเงินหรือมันนี่แทนทองคำ

ปู่ Warren Buffett เคยพูดว่าทองคำเป็นโลหะสีเหลืองที่เปล่งประกายแสง แต่ไม่มีประโยชน์อะไร ถือครองไปก็เป็นภาระในการหาตู้เชฟมาเก็บ แถมไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย ไม่เหมือนการลงทุนในหุ้น หรือการถือครองพันธบัตร

นี่คือสาระสำคัญของนิยามของเงินใน Bretton Woods II ที่เปลี่ยนไป โดยที่เงินดอลลาร์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลกคือกระดาษเปล่าๆ ที่ค่าของมันขึ้นกับความเชื่อมั่นในเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ ใครไม่เชื่อมั่นก็จะถูกแซงชั่น หรือทำลายเหมือนอิรัก หรือลิเบียโดนมาแล้ว หรือแซงชั่น หรือถูกตัดขาดจากระบบการเงินโลก

ตามกฎอนิจจัง ไม่มีระบบใดที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจะคงอยู่ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ระบบBretton Woods II หรือดอลลาร์กระดาษกำลังจะล่มสลายลง เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการพิมพ์เงินมหาศาลถึง $8 ล้านล้านตั้งแต่วิกฤตการณ์ในปี 2008-2009 จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีการใช้จ่ายงบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่โควิดระบาด มีการใช้เฮลิคอปเตอร์มันนี่เพื่อส่งเช็คเข้าไปในบัญชีเงินฝากของประชาชน พร้อมกับมีการปั่นฟองสบู่ตลาดหุ้น ผลของการพิมพ์เงินเพิ่มอย่างมหาศาลผ่านนโยบาย Quantitative Easing และการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 0% เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของวอลล์สตรีทและซิตี้ ออฟ ลอนดอนทำให้เกิดเงินเฟ้อที่รุนแรง ดอลลาร์เสื่อมค่า

ผู้ที่ถือครองดอลลาร์เริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพของดอลลาร์อีกต่อไป ยิ่งสหรัฐฯ ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ ยึดบัญชีดอลลาร์ของรัสเซีย และประเทศอื่นๆ ที่ไม่ดำเนินนโยบายต่างประเทศตามวอชิงตัน ดี.ซี. ยิ่งจะทำให้เกิดการอพยพหนีออกจากทรัพย์สินดอลลาร์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนและกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันโอเปกที่ต้องการปลดแอกดอลลาร์อยู่ในเวลานี้

นายพอซซาร์เขียนอธิบายต่อไปว่าในโครงสร้างการเงินโลกของ Bretton Woods III ที่กำลังถือกำเนิดขึ้นมา ซึ่งจะมีความแตกต่างจาก Bretton Woods II ตรงที่ระบบโครงสร้างใหม่จะมีเงินนอกหนุน (outside money) เงินนอกนี้คือทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนระบบโครงสร้างการเงินปัจจุบัน หรือ Bretton Woods 2 มีเงินในหนุน (inside money) เงินในคือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ตอนนี้มีขนาด $26 ล้านล้าน -$27 ล้านล้าน โดยที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ สามารถพิมพ์ยูเอสดอลลาร์ออกมาได้ โดยไม่มีข้อจำกัด เพียงแค่เคาะคีย์บอร์ดเท่านั้น

พอสหรัฐฯ และอังกฤษยึดทรัพย์ หรืออายัดทรัพย์รัสเซีย โดยอ้างว่าตอบโต้ที่รัสเซียบุกยูเครนทำให้ประเทศต่างๆ ที่ต้องดูแลทรัพย์สมบัติของชาติรู้สึกช็อก หรือเห็นความเสี่ยงในการถือครองทรัพย์สินดอลลาร์ หรือแม้กระทั่งยูโร จากก่อนหน้านี้ มองกันว่าการถือครองดอลลาร์และยูโรไม่มีความเสี่ยงใดๆ ถ้าหากประเทศใดมีการดำเนินนโยบายขัดแย้งกับการแซงชั่นของสหรัฐฯ และยุโรป อาจจะโดนอายัดทรัพย์สินเหมือนรัสเซียก็ได้

การติดอาวุธดอลลาร์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ประเทศต่างๆ ออกจากระบบดอลลาร์เร็วขึ้น หรือสร้างระบบการเงินโลกใหม่ที่เป็นอิสระจากอิทธิพลของดอลลาร์อีกต่อไป แต่จะอิงกับทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์แทนที่รัสเซียมีมากที่สุดในโลก

ในโครงสร้างระบบการเงินโลก Bretton Woods III ทองคำหรือสินค้าโภคภันฑ์จะทำหน้าที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (collaterals) หลัก ไม่เหมือนโครงสร้าง Bretton Woods II ในปัจจุบันที่มีการเอาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เวลาโลกเกิดวิกฤตการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถพิมพ์ดอลลาร์อย่างไม่จำกัดเพื่ออุ้มระบบธนาคารในเครือ ด้วยเหตุนี้สหรัฐฯ จึงไม่ต้องการเห็นทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์เข้ามามีบทบาทแทนระบบดอลลาร์กระดาษ เพราะว่าจะมีผลต่อความเป็นมหาอำนาจทางการเงินของสหรัฐฯ

แต่กลุ่มบริกส์ รวมทั้งประเทศผู้ผลิตน้ำมัน หรือและประเทศที่มีสินค้าโภคภัณฑ์จะรวมตัวกันเพื่อสร้างระบบการเงินโลกใหม่ ซึ่งเรียกตามความสะดวกว่า Bretton Woods III ที่จะปลดแอกจากระบบดอลลาร์กระดาษ และให้ค่าหันไปอิงค่าเงินกับทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่จับต้องได้แทน

จีนจะเปิดเกมรุกในระบบการเงินโลกใหม่พร้อมกับรัสเซีย โดยรัสเซียจะทิ้งทรัพย์สินในรูปดอลลาร์ และยูโรทั้งหมดเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ และยุโรปที่แซงชั่นรัสเซีย และหันไปให้ค่าเงินรูเบิลอิงกับทองคำ ส่วนจีนจะทยอยทิ้งทรัพย์สินดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนมาถือทองคำ หรือเอาดอลลาร์มาลงทุนในโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ซื้อกิจการต่างๆ หรือซื้อพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์แทน

ใน Bretton Woods 3 จีน รัสเซีย หรือกลุ่มบริกส์จะเป้นผู้กำหนดระบบการเงินโลกใหม่ที่มีทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์หนุนหลังค่าเงิน โดยที่ทั้งวอลล์สตรีท และซิตี้ออฟลอนดอนไม่สามารถจะโต้ตอบได้ เพราะว่ามีแต่เงินกระดาษ และหนี้ แต่ไม่มีทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ จึงมีการแก้เมด้วยการเตรียมการที่จะออกเงินดิจิทัลดอลลาร์ หรือเงินดิจิทัลโลก โดยให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางโลกแทน

เกมการเงินโลกนี้จึงเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างจีนรัสเซียพวกหนึ่ง กับสหรัฐฯ และอังกฤษพวกหนึ่งที่จะแข่งกันสร้างระบบการเงินโลกใหม่มาแทนระบบดอลลาร์กระดาษที่รอวันล่มสลาย


กำลังโหลดความคิดเห็น