รัฐธรรมนูญให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อบุคคลที่พรรคจะให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้สามชื่อ แต่จะเสนอชื่อเดียว สองชื่อ หรือไม่เสนอเลยก็ได้ แต่รายชื่อนายกรัฐมนตรีที่พรรคเสนอจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ พรรคการเมืองพรรคนั้นต้องมีเสียง ส.ส.ถึง 25 เสียง หากไม่ถึงรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่พรรคนั้นเสนอก็เป็นอันตกไป
โอกาสที่พรรคการเมืองจะได้ ส.ส. 25 เสียงขึ้นไปนั้นน่าจะมีไม่กี่พรรค เช่นการเลือกตั้งครั้งที่แล้วมีพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย
ดังนั้นจะไปเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไหนนั้นจะต้องเลือกให้ดีว่าพรรคนั้นมีโอกาสที่จะได้ ส.ส. 25 คนขึ้นไปหรือไม่
การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าจะให้คาดการณ์ก็เชื่อว่ามี 3 พรรคแน่ๆ ที่จะมี ส.ส.เกิน 25 คนคือ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคก้าวไกล พรรคที่มีโอกาสจะได้ ส.ส.ถึง 25 คนอีก 3 พรรคก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคนี้
การที่บอกว่า 3 พรรคจะมีโอกาสอันประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาตินั่นหมายถึงว่า อาจจะมีพรรคใดพรรคหนึ่งมีเสียงไม่ถึง 25 เสียงก็ได้ เพราะตอนนี้เขาคาดการณ์กันว่า 3 พรรคนี้จะมี ส.ส.รวมกันประมาณ 100 เสียงเท่านั้นเอง
คาดกันว่าจำนวน ส.ส. 500 คนนั้น พรรคเพื่อไทยน่าจะมี ส.ส.จำนวน 200 คนบวกลบ พรรคภูมิใจไทยที่กำลังเนื้อหอมจะมี ส.ส. 100 คนบวกลบ พรรคก้าวไกลที่ร้อนแรงจะมี ส.ส. 70 คนบวกลบ แค่ 3 พรรคนี้ก็จะมี ส.ส. 370 คนบวกลบไปแล้ว ดังนั้นจะเหลือให้พรรคการเมืองอื่นเพียง 130 คนบวกลบเท่านั้นเอง จะเป็นจริงดังนี้เซียนอยู่รู หมูอยู่ตึกไหมเลือกตั้งครั้งหน้ามารู้กัน
และเมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสของพล.อ.ประยุทธ์ที่จะเป็นแคนดิเดตของพรรครวมไทยสร้างชาตินั้นหมิ่นเหม่มากว่าจะได้ถึง 25 เสียงหรือไม่ และถ้าผลการเลือกตั้งออกมาแบบนี้ก็สั่นไหวต่อความมั่นคงของฝ่ายอนุรักษนิยมเช่นเดียวกัน
ดังนั้นทางออกของฝ่ายอนุรักษนิยมก็คือ ต้องเลือกตั้งในเชิงยุทธศาสตร์ คือ นอกจากทุกพรรคการเมืองในฝั่งรัฐบาลเวลานี้ต้องรวมตัวกันให้เหนียวแน่นเพื่อรักษาเสียงข้างมากให้ได้เกิน 250 คนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ต้องแข่งขันกันเองให้น้อยที่สุด
และต้องทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลไม่เป็นไปตามเป้าคือ 2 พรรคนี้ต้องรวมกันไม่เกิน 250 คน แม้ว่าทักษิณเจ้าของพรรคเพื่อไทยโดยพฤตินัยจะไม่เอาพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแน่ๆ แต่ถ้า 2 พรรครวมกันเกิน 250 คนก็จะเกิดสภาพที่พรรคเพื่อไทยมีแต้มต่อทางการเมืองทันที เพราะอีกฝั่งจะไม่มีวันได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
แต่สิ่งที่ปรากฏในเวลานี้คือ พรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้แข่งขันกันเองในกลุ่มมวลชนเดียวกัน คือแย่งชิงคะแนนเสียงแบบตกปลาในบ่อเดียวกัน ดังนั้นการที่เสียงจะแตกกระจายกันไปนั้นมีมากโดยเฉพาะพรรคการเมือง 3 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยแม้มีฐานเสียงของตัวเองระดับหนึ่งก็เข้ามาแย่งชิงคะแนนเสียงในบ่อปลานี้ด้วย โดยเฉพาะในภาคใต้และกทม.
พรรคภูมิใจไทยอาจได้เสียงมากที่สุดในฝั่งนี้ แต่สุดท้ายทั้ง 3 พรรคคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.พรรคละกี่คน
ดังนั้นถึงวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องขบคิดกันให้ดีว่าจะทำอย่างไรให้แข่งขันกันเองให้น้อยที่สุด และต้องทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล 2 พรรครวมกันไม่เกิน 250 เสียงไม่เช่นนั้นจะจบเห่ทันที แม้ว่า ส.ว.อาจจะยกมือหนุนให้ฝั่งรัฐบาลปัจจุบันมีเสียงสองสภาเกิน 376 เสียง แต่ถ้าเสียงในสภาผู้แทนมีไม่ถึง 251 เสียงขึ้นไปก็บริหารประเทศไม่ได้ อาจมีอำนาจยุบสภาฯ แต่ยุบสภาฯ ไปเลือกตั้งใหม่ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างจากเดิม
ดังนั้นวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ที่มีเวลาเหลืออีก 2 ปีจะต้องคิด เพราะเห็นได้เลยว่า ไม่มีทางเลยที่พรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นพรรคที่ได้เสียงมากเป็นอันดับ 1 แล้วสามารถรวบรวมเสียงเกิน 250 เสียงเพื่อตั้งรัฐบาลได้ ถึงวันนั้นพล.อ.ประยุทธ์พร้อมจะเป็นผู้แพ้ไหม
หรือว่าจะวางมือเสียแต่วันนี้เพื่อผลักดันให้การแข่งขันในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันหรือฝั่งอนุรักษนิยมลดการแข่งขันกันเองให้น้อยที่สุด
วันก่อนมีรายงานว่า มีการลือกันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไปเป็นแคนดิเดตของพรรคภูมิใจไทย ทำให้เห็นทางออกที่น่าสนใจก็คือ พรรคภูมิใจไทยเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินโดยพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีตามโควตาที่เหลือ 2 ปี แล้วจากนั้นนายอนุทินค่อยเป็นอีก 2 ปีที่เหลือ ทั้งยังเป็นการลดการแข่งขันกันเองในฝั่งเดียวกัน แต่เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามนายอนุทินได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วถามว่าเอาข่าวมาจากไหน เพราะพรรคภูมิใจไทยประกาศไปแล้วว่าจะเสนอชื่อตัวเองเพียงคนเดียว
เมื่อมองสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นแล้วก็มองไม่เห็นนะว่า พล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร ต่อให้พรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้สามารถรวบรวมเสียงได้เกิน 250 เสียงหลังเลือกตั้ง แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทยมาเป็นอันดับ 1 ในฝั่งนี้มากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติที่เสนอพล.อ.ประยุทธ์ ถามว่านายอนุทินจะยอมเปิดทางให้พล.อ.ประยุทธ์ไหมเมื่อพรรคของตัวเองมีเสียงมากที่สุด
นี่ยังไม่ลืมที่ต้องลุ้นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.ถึง 25 คนไหม ถ้ามองสถานการณ์ ณ เวลานี้ที่ยังไม่เห็นว่ามี ส.ส.ที่มั่นใจได้ว่าจะได้รับเลือกตั้งเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติเลย มีแต่ ส.ส.ที่หวังจะขี่กระแสของพล.อ.ประยุทธ์ทั้งนั้น แล้วลองพิจารณาดูว่าวันนี้กระแสของพล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นเหมือนเดิมไหม
และต้องคิดให้ได้ว่า สถานการณ์ตอนนี้ของฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นควรจะแตกพรรคออกไปเป็นหลายพรรคแล้วแข่งขันกันเองหรือรวมพลังกันให้เหลือพรรคน้อยที่สุดเพื่อที่มวลชนฝั่งนี้จะเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งได้โดยง่าย ในขณะที่อีกฝั่งนั้นเขาไม่ได้มีคู่แข่งกันมากมีเพียงพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่แข่งขัน และแม้จะมีเสียงที่ทับซ้อนกันบ้างแต่ต่างฝ่ายก็มีมวลชนของตัวเอง พรรคก้าวไกลนั้นมีมวลชนในหมู่คนรุ่นใหม่วัยทำงาน แต่พรรคเพื่อไทยมีฐานมวลชนในหมู่คนชั้นล่างที่เหนียวแน่น
ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลในเวลานี้ยังคิดหาทางลดการแข่งขันกันเองให้น้อยลงไม่ได้ การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเป็นพรรคเพื่อไทยแน่นอน เพราะถ้าสองพรรคคือก้าวไกลกับเพื่อไทยมีเสียงเกิน 250 คน อำนาจต่อรองจะเป็นของทักษิณทันที และมีโอกาสสูงมากที่เราจะได้นายกรัฐมนตรีที่สืบสายเลือดมาจากตระกูลชินวัตร
และอาจจะไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวที่จะพ่ายแพ้แต่มันหมายถึงความพ่ายแพ้ของฝ่ายอนุรักษนิยมด้วย
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan