พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวแล้วว่า เขาจะขออยู่ต่ออีก 2 ปี “ก็ 2 ปี ก็จะทำทุกอย่างให้มันดีที่สุด และจากนั้นต่อมาก็จะมีคนใหม่ที่เหมาะสม ที่ประชาชนยอมรับ และทำต่อแค่นั้นเอง”
พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามเหมือนมั่นใจว่าจะได้ไปต่อ แต่จริงๆ แล้วจะได้อยู่ต่อหรือไม่อยู่ที่ประชาชนที่จะสำแดงคำตอบผ่านการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าอย่างช้าในช่วงเดือนพฤษภาคมหากรัฐบาลอยู่ครบเทอม แต่ถ้ายุบสภาฯ ก็จะเร็วกว่านั้น
ในขณะที่การสำรวจของนิด้าโพลนั้นบ่งบอกว่า คะแนนนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำมาตลอด ในครั้งหลังตกเป็นรองทั้งแพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะคะแนนนิยมของแพทองธารจะมากกว่าพล.อ.ประยุทธ์ถึงเท่าตัว และในความเป็นพรรคความนิยมของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลก็มาเป็นอันดับ 1 และ 2
ถามว่าแล้วพล.อ.ประยุทธ์เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าตัวเองจะกลับมาแล้วได้อยู่ต่ออีก 2 ปี มีใครอธิบายหน่อยสิว่าพล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาได้อย่างไร การย้ายไปพรรคใหม่รวมไทยสร้างชาตินั้นจะทำให้คะแนนของพล.อ.ประยุทธ์พลิกกลับมานำหน้าแพทองธารและพิธา และพรรคใหม่จะมีคะแนนนำพรรคเพื่อไทยหรือพรรคก้าวไกลเช่นนั้นหรือ
หรือถ้าแข่งขันในฝั่งเดียวกันพรรครวมไทยสร้างชาติจะได้ ส.ส.มากกว่าพรรคภูมิใจไทยไหม ถ้าพรรคภูมิใจไทยเขาได้มากกว่าแล้วฝั่งนี้ยังกลับมาฟอร์มรัฐบาลกันได้ อนุทิน ชาญวีรกูลจะยอมหลีกทางให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นต่อไหม
คำตอบที่เราเห็นก็คือ พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นน่าจะมีฐานเสียงใน กทม.และภาคใต้เท่านั้นเองที่คะแนนนิยมของพล.อ.ประยุทธ์ยังพอจะมีอยู่ แต่ผลสำรวจโพลในกรุงเทพฯ ก็ชี้ชัดแล้วว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าคน กทม.เขาจะเลือกพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล และในทางปฏิบัติเขาทำให้เห็นแล้วในการเลือกตั้ง ส.ก. ส่วน ส.ส.ภาคใต้ที่ประกาศจะย้ายตามพล.อ.ประยุทธ์ไปนั้นก็รู้ตัวดีว่าตัวเองต้องอาศัยแสงจากตัวพล.อ.ประยุทธ์จึงจะรอดกลับเขาสภาฯ มาได้
ยังไม่เห็นคนที่มีท่าทีจะย้ายตามพล.อ.ประยุทธ์ไปอยู่พรรคใหม่คนไหนเลยที่พอจะมีแสงในตัวแล้วเอาตัวเองเข้าสภาฯ มาด้วยพลานุภาพของตัวเองได้ พูดง่ายๆ คือยังไม่เห็นเลยว่าจะมีพวกบ้านใหญ่ที่สามารถยึดครองจังหวัดต่างๆ ได้ตามมาอยู่เลย และดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องการพวกนั้นด้วย เพราะการออกมาสร้างพรรคใหม่ส่วนหนึ่งน่าจะไม่ยอมรับการต่อรองทางการเมืองของมุ้งต่างๆ ในพรรค พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ยอมลดตัวไปเกลือกกลั้วกับนักการเมือง
ต้องยอมรับว่าการแข่งขันเลือกตั้งครั้งหน้าในพรรคขั้วเดียวกันนั้นมีการแข่งขันกันสูงมาก แม้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจะไม่ได้รับความนิยมในภาคใต้ แต่ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย ที่หวังจะตกปลาในบ่อเดียวกันก็ต้องแข่งขันกันสูงและตัดคะแนนกันเอง ยังไม่นับรวมพรรคไทยภักดี ในกรุงเทพฯ ก็เช่นเดียวกัน
ในขณะที่อีกฝั่งนั้นเป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลซึ่งมีเพียง 2 พรรคเท่านั้น พรรคเพื่อไทยน่าจะได้เสียงส่วนใหญ่ของชนชั้นล่างและเสียงของมวลชนเสื้อแดง ในขณะที่ก้าวไกลนั้นได้เสียงของชนชั้นกลางวัยทำงานคนหนุ่มสาวและพวกปฏิกษัตริย์นิยม
และถ้ามองไปภาคอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือภาคอีสานมองไม่เห็นเลยครับว่า พรรครวมไทยสร้างชาติของพล.อ.ประยุทธ์จะเอาคะแนนมาจากไหนและจะได้ ส.ส.เข้าสภาฯ ได้อย่างไร แล้วอย่างนี้จะมีเสียงจากไหนที่จะอุ้มพล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 2 ปีอย่างที่พูดเหมือนจะกลับมาเป็นกันง่ายๆ
และคำถามสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ต่อทำไมอีก 2 ปี การเป็นนายกรัฐมนตรีมายาวนานกว่า 8 ปีนั้น พล.อ.ประยุทธ์สดับตรับฟังไม่ได้ถึงเสียงบ่นเบื่อว่าพอแล้วของประชาชนบ้างเลยหรือ
การเลือกตั้งครั้งที่แล้วพล.อ.ประยุทธ์ได้เปรียบที่อยู่ใต้อำนาจของ คสช. แต่การเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ใต้บรรยากาศที่คนทั้งประเทศเห็นฝีไม้ลายมือของพล.อ.ประยุทธ์มาแล้ว 8 ปีกว่าว่ามีความสามารถแค่ไหน จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ไหม และทีมเศรษฐกิจที่มีความรู้ความสามารถของพล.อ.ประยุทธ์เป็นใคร แล้วจะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ด้วยมันสมองและความสามารถของพล.อ.ประยุทธ์เองหรือ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เริ่มจะมีคำถามและพวกเขาต้องการความเปลี่ยนแปลง
ไม่กี่วันก่อนผมเห็น ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ขุนพลคนสำคัญของฝ่ายอนุรักษนิยมที่ยืนข้างเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ก็เขียนบทกวีผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองเป็นเชิงตั้งคำถามต่อความปรารถนาที่จะไปต่ออีก 2 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ว่า ซื้อเวลาอีกสองปีจะดีหรือ/พอเท่านี้นั่นคือความยิ่งใหญ่/รู้จักพอสิ่งต่างๆ ที่ทำไป/จะคงอยู่ต่อไปในใจคน/แม้ยืดยื้อถืออัตตาว่าข้าแน่/ในไม่ช้าจะย่ำแย่และร่วงหล่น/รู้จักพอก่อสุขถ้วนทุกตน/อย่าเสพติดอำนาจล้นบนฝ่ามือ/แม้นอยากอยู่อย่างอยากมันยากนัก/จะเสียหลักข้อใหญ่ให้ยึดถือ/ถึงเวลาปล่อยวางโลกเลื่องลือ/ไม่ฝืนยื้อโลกแซ่ซ้องก้องแผ่นดิน
นี่น่าจะเป็นเสียงเตือนดังๆ ของกัลยาณมิตรที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องรับฟัง
แต่ทัวร์ก็ไปลงในเฟซของ ดร.อานนท์ ส่วนใหญ่สนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อแล้วตั้งคำถามว่า ถ้าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์แล้วจะเอาใคร แต่การที่เสียงส่วนใหญ่ที่คอมเมนต์ในเฟซของดร.อานนท์เห็นด้วยอยากจะให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อนั้นไม่ใช่จะอนุมานได้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนนะ แต่เป็นเสียงในห้องแห่งเสียงสะท้อนหรือ Echo chamber ที่เป็นคนกลุ่มเดียวกันและมีความลำเอียงในการเลือกรับข้อมูล (confirmation bias) โดยเลือกรับข้อมูลที่จะมายืนยันความเชื่อเดิมของเราเองเท่านั้น แล้วกรองข้อมูลใหม่ๆ ที่ขัดแย้งกับมุมมองหรือความเชื่อของเราทิ้งไปนั่นเอง
วันนี้คนที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่า เสียงในสังคมเขาคิดกันอย่างไร และอาจไม่เชื่อโพลที่ทำมาเพราะไม่อยากรับฟังข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น
แต่ปัญหาใหญ่ที่พวกเขากังวลก็คือ พวกเขาถามว่าถ้าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์จะเอาให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ โดยความคิดแบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์จะชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก ทั้งที่ในโลกของความเป็นจริงตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์มีคะแนนนิยมเป็นรองทั้งแพทองธารและพิธา
แน่นอนว่าเสียงส่วนหนึ่งกลัวการกลับมาของระบอบทักษิณและพวกเขายังหวาดกลัวการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลของรัฐบาลทักษิณและนอมินีของทักษิณ แต่ถามว่า อะไรที่จะทำให้พ่ายแพ้ก็ต้องตอบว่า 8 ปีกว่าของพล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละที่ไม่สามารถทำให้คนกลุ่มหนึ่งลืมระบอบทักษิณได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan