ยุคเมื่อครั้งจอมจักรพรรดิฝรั่งเศส... “นโปเลียน โบนาปาร์ต” บุกรัสเซียถึงขั้นยึดกรุงมอสโกเอาไว้แล้วในมือ แม่ทัพหรือ “ขุนพลรัสเซีย” 3 ราย ผู้ได้ชื่อว่าเป็นตัว “พลิกเกม” ให้กองทัพหมีขาว สามารถผงาดกลับมาเล่นงานกองทัพฝรั่งเศสพังพินาศ ฉิบหาย หนียะย่าย พ่ายจะแจ เจ็บปวดรวดร้าวกันไปเป็นแถบๆ คือผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “ขุนพลโคลน” “ขุนพลหิมะ” และ “ขุนพลระยะทาง” อะไรทำนองนั้น ส่วนยุคนี้-สมัยนี้...การรบกับคุณพ่ออเมริกาและประเทศยุโรปแทบทั้งยุโรป จะออกหัว ออกก้อย กันในแนวไหนต่อแนวไหนก็ตามที แต่ “ขุนพลรัสเซีย” ที่ต้องให้ค่า ให้ความสำคัญเอาไว้ให้จงหนัก น่าจะหนีไม่พ้นไปจาก “ขุนพลน้ำมัน” “ขุนพลแก๊ส” และ “ขุนพลข้าวสาลี” ที่ยังไงๆ คงจะไป “ดูเบา” มิได้โดยเด็ดขาด!!!
คือถึงแม้ว่าฝ่ายอเมริกา ฝ่ายนาโต หรือฝ่ายประเทศอียู ท่านค่อนข้างเชื่อ หรือพยายามกล่อมตัวเองให้เชื่อ...ว่าสามารถ “ชนะศึกยูเครน” ได้ในท้ายที่สุด ด้วยการรวมพลังของโลกตะวันตกอย่างแน่นเหนียวและกระเหี้ยนกระหือรือ ไม่ว่าในแง่เงินๆ-ทองๆ ชนิดต้องควักจ่ายกันเดือนละเป็นพันๆ ล้าน หรือเกือบหมื่นล้านดอลลาร์ ตามคำเรียกร้องของรัฐบาลยูเครนว่าต้องไม่น้อยไปกว่าเดือนละ 7,000 ล้านดอลลาร์ อาวุธยุทโธปกรณ์ตั้งแต่ปืนใหญ่ รถถัง จรวดรุ่นโน้น-รุ่นนี้ ฯลฯ ให้กับกองทัพของพวก “นาซีใหม่” หรือถึงจะสามารถหันซ้าย-หันขวาประเทศยุโรปที่เคยอยู่กลางๆ อย่างฟินแลนด์ สวีเดน ให้วิ่งโร่มายื่นใบสมัครเป็นสมาชิกนาโต โดยไม่คิดลังเลเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ...ในเรื่อง “ศึกสงคราม” มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกเยอะ ไม่ใช่แค่ยึดเมืองโน้น เมืองนี้ ยึดโรงงานเหล็ก ฯลฯ หรือยึดอะไรต่อมิอะไรต่างๆ...
เพราะถ้าดูจากกิริยาอาการผู้นำรัสเซียอย่าง ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ในงาน “The Collective Security Treaty Organization summit” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ดูๆ ท่านแทบไม่ได้ออกอาการหนักอก หนักใจ ปวดเศียรเวียนเกล้ามากมายสักเท่าไหร่ แม้ว่าประเทศอยู่ปากประตูหน้าบ้านอย่างฟินแลนด์และสวีเดน ต่างยืนหยัด ยืนกราน ที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตให้จงได้ เพียงแต่ยอมรับว่าอาจทำให้สถานการณ์ระหว่างประเทศ “แย่ลง” และ “ซับซ้อนยิ่งขึ้น” เนื่องจากสิ่งที่ถือเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อรัสเซียจริงๆ ก็ต่อเมื่อดินแดนเหล่านั้นได้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็นฐานที่ตั้งทางทหาร หรือเกิดการขนอาวุธ ขนจรวด เข้ามาติดตั้งกันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็คงต้องรอไปจนกว่ารัฐสภาของชาติสมาชิกแต่ละชาติจะให้สัตยาบัน ไม่มีประเทศหนึ่ง ประเทศใดคัดค้าน โดยจะอีกสักกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังมิอาจสรุปได้ อีกทั้งถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ รัสเซียก็พร้อมที่จะตอบโต้ไปตามเนื้อผ้า หรือตามแรงกดดันของตะวันตก อย่างที่ใครต่อใครตั้งสมมติฐานไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าอาจต้องขนขีปนาวุธนิวเคลียร์ หรือจรวดซุปเปอร์โซนิก ไปวางเรียงไว้แถวๆ “Kaliningrad” อะไรทำนองนั้น...
แต่สำหรับผู้ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัสเซีย...เฉพาะแค่ “หน้าหนาว” ที่กำลังมาถึง อีกแค่ไม่กี่วัน-กี่เดือนข้างหน้าเท่านั้นเอง โอกาสที่แต่ละประเทศต้อง “เด็ดปัสสาวะทิ้ง” กันเองไปเป็นรายๆ อันเนื่องมาจากความขาดแคลนด้านพลังงาน ไม่ว่าน้ำมันหรือแก๊ส ที่เคยต้องพึ่งพา “ขุนพลรัสเซีย” รายนี้มาโดยตลอด เพราะมาถึง ณ บัดนี้...คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนต่อประเทศไหน ยังแทบไม่มีอะไรเป็นชิ้น-เป็นอัน ไม่ได้มี “มาตรการที่แน่นอน” ในอันที่จะรับมือกับภาวะดังกล่าว เลยถึงทำให้การ “แซงชั่นรัสเซีย” ด้านพลังงาน เป็นไปแบบกระปริบกระปรอย ไม่ได้เป็น “เอกภาพ” ดังที่เคยคาด เคยหวัง เอาไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนกันยังไง คิดจะออกรูไหนต่อรูไหน ล้วนแต่เป็น “รูตัน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น อย่างเช่นแก๊ส LNG ที่พอช่วยสร้างความอบอุ่นในหน้าหนาวขึ้นมาได้มั่ง ขนาดโดยสถานการณ์ปกติก็ยังไม่เพียงพอต่อปริมาณความต้องการ ขณะความต้องการปี ค.ศ. 2022 อยู่ที่ 436 ล้านตัน แต่โลกทั้งโลกผลิตได้เพียงแค่ 410 ล้านตันเท่านั้นเอง ยิ่งเมื่อคิดตัดขาด คิดแซงชั่นแก๊สรัสเซียที่เคยป้อนตลาดยุโรปถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ เหมือนกับไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่บนโลกใบนี้ โอกาสจะวิ่งไปหาแก๊สจากที่อื่นๆ มาช่วยคลายหนาว ช่วยไม่ให้ปัสสาวะแข็งเป็นท่อนๆ มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้ หรือยิ่งทำให้ราคาแก๊สพุ่งขึ้นไปถึง 1,200 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตรเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (12 พ.ค.) ที่ผ่านมา โดยถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ของบริษัทพลังงาน “Rystad Energy” โอกาสที่หน้าหนาวปีนี้ ราคาแก๊สในยุโรปหรือในหมู่ประเทศอียู จะขึ้นไปถึง 300 เปอร์เซ็นต์ หรือขึ้นไปถึง 3,500 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ!!!
ดังนั้น...ถ้าลองเจอสภาพเช่นนี้ แค่เฉพาะประเทศอังกฤษประเทศเดียว อย่างที่ “CEO” บริษัทพลังงาน “Scottish Power” “นายKeith Anderson” ได้ออกมาประเมินไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า ภายในเดือนตุลาคมปีนี้โอกาสที่ชาวอังกฤษ ชาวเวลส์ ชาวสกอตจำนวนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน อาจต้องหนาวตาย แข็งตาย ไม่ต่างไปจากบรรดาทหารฝรั่งเศสแห่งกองทัพจักรพรรดินโปเลียนเมื่อครั้งอดีต โดยเฉพาะถ้าราคาแก๊สในยุโรปขึ้นไปถึง 2,900 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร ส่วนน้ำมันรัสเซียอันเป็นผลผลิตอันดับ 2 ของโลก และเคยถูกป้อนเข้าสู่ตลาดยุโรปไม่น้อยกว่า 29 เปอร์เซ็นต์ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากกันนั่นเอง เรียกว่า...ไม่ต้องรอไปเป็นปีๆ จนกว่าเมื่อไหร่ที่ฟินแลนด์ สวีเดน จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต เอาแค่หน้าหนาวปีนี้ ที่กำลังจะมาถึง โอกาสที่บรรดาชาวยุโรปทั้งหลาย จะต้องเจ็บปวดรวดร้าว เพราะฤทธิ์เดชของ “ขุนพลน้ำมัน” และ “ขุนพลแก๊ส” รัสเซีย ยิ่งแทบมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...
นั่นยังไม่รวมไปถึง “ขุนพลข้าวสาลี” หรือขุนพลอาหารและปุ๋ย ที่กลายเป็นเหตุปัจจัยให้ “ราคาอาหาร” พุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ อันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรประเภทข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ของยูเครน ที่เคยมีปริมาณส่งออกถึง 90 ล้านตันในแต่ละปี หรือ 27 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก ดันส่งออกไม่ได้เอาดื้อๆ!!! เพราะบรรดา “เมืองท่า” ต่างๆ ถูกกองทัพรัสเซียยึดซะเกลี้ยง จนทั้งประเทศต้องกลายเป็น “Landlocked Country” ไปโดยปริยาย ในขณะที่ผลการเก็บเกี่ยวข้าวของรัสเซียปีนี้สูงถึง 130 ล้านตัน หรือสูงสุดในประวัติศาสตร์รัสเซีย อีกทั้งเป็นข้าวสาลีที่เอามาทำแป้ง มาทำขนมปังอันเป็นอาหารหลักของพวกฝรั่งมากถึง 87 ล้านตัน โดยถ้าใครคิดจะซื้อ อาจต้องจ่ายเป็นเงินรูเบิล ไม่ต่างอะไรไปจากแก๊สและน้ำมัน จนทำให้ค่าเงินรูเบิลแข็งเอาๆ แข็งซะยิ่งกว่าตอนยังไม่ถูก “แซงชั่น” เอาเลยด้วยซ้ำ ราคาอาหาร ราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส ที่พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ยิ่งเข้าไปทุกที ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อนลำเค็ญ เจ็บปวดรวดร้าวต่อบรรดาชาวยุโรปทั้งหลาย จนอาจนำไปสู่ความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ต่อรัฐบาลตัวเองที่ยอมถูกหันซ้าย-หันขวา ไปตาม “ใบสั่ง” ของคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ...
ยิ่งโดยเฉพาะรัฐบาลอังกฤษ ที่รัฐมนตรีหญิงอย่าง “นางRachel Maclean” ได้ออกมาชี้แนะ ชี้นำ ชาวผู้ดีทั้งหลายเอาไว้ประมาณว่า...คนอังกฤษคงต้องพยายามทำงานให้หนักขึ้น หรือไม่ก็เปลี่ยนไปหางานที่ดีกว่า ถ้าหากต้องการให้อยู่รอดปลอดภัยจากภาวะวิกฤตค่าครองชีพที่สูงขึ้นๆ เรียกว่า...พอๆ กับ “พระนางมารีแอ๊ด” หรือ “มาเรีย อองตัวเน็ตต์” อดีตพระราชินีฝรั่งเศส ที่เคยเอ่ยผรุสวาทวาจา ประมาณว่า “Qu’ils mangent de la brioche” หรือ “ไม่มีขนมปัง...ก็ลองหันไปกินขนมเค้ก” อะไรทำนองนั้น จนนำไปสู่การ “ปฏิวัติฝรั่งเศส” จนได้ เช่นเดียวกับอเมริกันชนทั้งหลาย ที่ต้องเจอกับขุนพลน้ำมัน ขุนพลแก๊ส และขุนพลอาหารของรัสเซีย ในลักษณะไม่ต่างจากกันมากมายสักเท่าไหร่ ที่ดูจะเริ่มเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ต่อรัฐบาลเดโมแครต หรือรัฐบาลผู้เฒ่า “โจ ซึมเซา” ยิ่งเข้าไปทุกที โอกาสที่จะเกิด “ปฏิวัติอเมริกา” อันเนื่องมาจากวิกฤตอาหาร อย่างที่นักคิด นักกฎหมายชาวอเมริกันเอง เคยว่าไว้...ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย!!!
ส่วน “ตัวแทน” ในการเปิดศึกกับรัสเซียอย่างรัฐบาลยูเครน ไม่ว่าจะได้รับเงิน ได้รับอาวุธ จากอเมริกาและยุโรปไปถึงขั้นไหนไม่ว่าคิดจะตีกลับ โต้กลับ ยึดเมืองแต่ละเมืองกลับคืนมาได้หรือไม่? อย่างไร? แต่ถ้าฟังจากเสียงรัฐมนตรีคลัง “นายSerhiy Marchenko” ที่ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสาร “The Economist” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา การอ้างถึงตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ปาเข้าไปถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ ย่อมทำให้ตัวเองต้องกลายเป็น “ภาระ” ของอเมริกาและยุโรปอีกยาวไกลไม่รู้จะกี่ปีกี่ชาติ ยิ่งเมื่อเปิดเผยตัวเลขการจ่ายเงินเดือนให้ทหารถึงเดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์ ที่ตัวเองยังต้องสารภาพว่า “เป็นภาระที่ใหญ่โตเอามากๆ” เพราะรายได้จากการส่งออกทั้งมวลลดลงไปถึง 85 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการส่งออกข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ฯลฯ ที่เคยทำรายได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีหายเกลี้ยงไม่เหลือติดปลายนวมเอาไว้เลย เนื่องจากเมืองท่าแต่ละแห่งถูกยึดเอาไว้หมด อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่คงต้องนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการคิดคำนวณในแบบ... “ถ้าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพจำนวนทหาร!!!” อะไรประมาณนั้น...