ไม่ว่าท่านผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญ ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด แบบไหน อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว...คงต้องขออนุญาตสรุปเอาเองนั่นแหละทั่น ว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3 อย่างไม่เป็นทางการ” ได้อุบัติขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!! ด้วยเหตุเพราะการสู้รบทางทหาร ไม่ใช่แค่เฉพาะทางเศรษฐกิจแบบแซงชั่นกันไป-มา ในแถบยุโรปช่วงนี้ มันคงไม่ใช่แค่การสู้ การปะทะระหว่าง “รัสเซียกับยูเครน” ต่อไปอีกแล้ว แต่เป็นการสู้รบระหว่าง “รัสเซียกับนาโตและอเมริกา” โดยมียูเครนเป็นแค่ “ตัวแทน” หรือเป็นแค่ “สมรภูมิ” ด่านหน้าเท่านั้นเอง...
เพราะความกระเหี้ยนกระหือรือของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรป ในการส่ง “อาวุธหนัก” ไม่ว่าตั้งแต่ระดับจรวด รถถัง ไปจนถึงเครื่องบินโน่นเลย หรือแม้กระทั่งส่งทหารที่จำแลง แปลงตัว เข้าไปในยูเครนเพื่อรบกับกองทัพรัสเซีย ต้องเรียกว่าเป็นไปอย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการยิ่งเข้าไปทุกที หรือถ้าว่ากันตามคำพูด แนวทางของรัฐมนตรีกลาโหมผิวสีอเมริกันและอดีตคณะกรรมการบริหารบริษัทค้าอาวุธชื่อดัง อย่าง “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Llyod Austin) ไม่ว่าระหว่างการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยปกติ หรือระหว่างการเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวผู้แทนทหารกว่า 40 ประเทศ ณ ฐานทัพ “Ramstein” ประเทศเยอรมนี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็เป็นอะไรที่สามารถสรุปได้โดยชัดเจน ว่าถือเป็นความพยายามที่จะอาศัยวิกฤตยูเครนคราวนี้นี่แหละ เล่นงานหมีขาวรัสเซียให้อ่อนเปลี้ย เพลียแรง หรืออ่อนแอชนิดไม่อาจสู้รบกับใครได้อีกต่อไปเลย หรือถ้าว่ากันตามคำอธิบายขยายความของอดีตนักวิเคราะห์ซีไอเอ “นายลาร์รี่ จอห์นสัน” (Larry Johnson) ที่ได้ระบุต่อสำนักข่าว “RT” ของรัสเซียไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ก็คงประมาณว่า...ความฝันของอเมริกานาโต ณ ช่วงขณะนี้ คงไม่ใช่แค่คิดคว่ำผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” แต่เพียงเท่านั้น แต่ต้องการเห็นประเทศรัสเซียทั้งประเทศล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
และโดยคำพูด โดยข้อสรุป ที่ว่า...ก็คงไม่ได้ถึงกับ “สมรักษ์ คำสิงห์” จนเกินไป โดยเฉพาะสำหรับใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และเทคโนโลยีด้านความมั่นคง อดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกันช่วงปี ค.ศ. 1981-1988 “นายสตีเฟน ไบรอัน” (Stephen Bryen) ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาได้นำมาแปลและเรียบเรียง แล้วเผยแพร่ไปเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ในชื่อว่า “สหรัฐฯ อยู่บนขอบเหวแห่งความประมาทเลินเล่อในยูเครน ที่อาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์โดยไม่ตั้งใจ” หรือ “US on brink of recklessness in Ukraine” คือด้วยความห่าม ความเลินเล่อ หรือความอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ การกระตุ้นยุแยงตะแคงรั่วโดยคุณพ่ออเมริกาให้บรรดาประเทศในยุโรปไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน โปแลนด์ แคนาดา ฯลฯ ส่งอาวุธร้ายๆ เข้าไปในยูเครนเพื่อเอาไว้สู้กับทหารรัสเซีย จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามสร้างแรงกด แรงบีบ ให้กับกองทัพรัสเซียให้หนักๆ เข้าไว้ จนอาจไม่เหลือทางออก ทางไปใดๆ อีกเลย นอกเสียจากต้องหันปากกระบอกปืน หรือกระทั่งหัน “อาวุธนิวเคลียร์” เข้าใส่บรรดาผู้ให้การสนับสนุนยูเครน หรือบรรดาประเทศยุโรปในแต่ละประเทศจนได้...
เพราะแม้ว่าโฆษกเครมลิน อย่าง “นายดมิตรี เพสคอฟ” (Dmitry Peskov) จะเคยออกมา “เตือนสติ” บรรดาประเทศยุโรปทั้งหลายเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา (27 เม.ย.) ว่าการส่งอาวุธให้กับยูเครนกำลังกลายเป็นตัวเพิ่ม “อันตราย” ให้กับความมั่นคงของยุโรปทั้งยุโรป หรือแม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” (Sergey Lavrov) ที่ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า การขนส่งอาวุธของต่างชาติทุกชนิดให้กับยูเครน ถือเป็น “เป้าหมายอันชอบธรรม” ในการโจมตีของกองทัพรัสเซีย แต่ดูเหมือนคำเตือน หรือแม้กระทั่งคำขู่เหล่านี้ แม้จะเข้าหูซ้ายแต่มักไหลทะลุออกไปทางหูขวาของบรรดาประเทศยุโรปแต่ละประเทศ การ “ซ้อมรบ” ครั้งใหญ่ประจำปี ค.ศ.2022 ภายใต้รหัส “DE22” และ “SR22” ตั้งแต่วันที่ 1-27 พฤษภาคม ณ ประเทศโปแลนด์และอีก 8 ประเทศ โดยระดมกำลังพลถึง 18,000 นาย จาก 20 ประเทศ ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส สวีเดน เยอรมนี เดนมาร์ก ฯลฯ โดยมีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำ จึงยิ่งเท่ากับเป็นการยั่วยุ เป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้ความตึงเครียดแห่งการเผชิญหน้าทางทหาร ไม่ใช่แค่ระหว่างรัสเซียกับยูเครนแต่ระหว่างรัสเซียกับอเมริกาและนาโตนั่นแหละ ยิ่งเป็นอะไรที่เห็นได้โดยถนัดชัดเจน รวมทั้งมีโอกาสลุกลามบานปลาย ขยายวง ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ใช่แต่เฉพาะ “แนวรบยุโรปตะวันออก” เท่านั้น ที่ทำท่าว่าใกล้จะเกิดการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ “The Financial Times” เมื่อไม่กี่วันมานี้ ระบุเอาไว้ว่าตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ว่า “คู่หู-คู่เหี้ยม” แห่งชาวแองโกล-แซกซอน หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอเมริกัน อย่าง “นายเคิร์ต แคมป์เบลล์” (Kurt Campbell) ผู้ประสานงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และ “นางลอรา โรเซนเบอร์เกอร์” (Laura Rosenberger) ผู้ช่วยพิเศษประธานาธิบดีและผู้อำนวยการอาวุโสสภาความมั่นคงด้านไต้หวันและจีนจากทำเนียบขาว ได้พบปะเจรจาหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอังกฤษอย่างลับๆ ในเรื่องที่ “มีความสำคัญยิ่ง” นั่นก็คือ...การร่วมมือปกป้องไต้หวันจากการบุกรุกของกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ไม่เพียงแต่จะอาศัยพันธมิตรในอินโด-แปซิฟิก อย่างออสเตรเลีย หรือญี่ปุ่น แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องลากพันธมิตรแองโกล-แซกซอน อย่างอังกฤษเข้าไปร่วมด้วย-ช่วยกันอย่างเป็นงานเป็นการ และนั่นเอง...ที่เลยไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลก เมื่อเลขาธิการนาโต อย่าง “พลเอกเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก” (Jens Stoltenberg) ต้องออกมาป่าวประกาศว่า ถือเป็นครั้งแรกที่นาโตเห็นพ้องต้องกันที่จะขยายบทบาทอำนาจเข้าไปในเอเชีย เพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของจีน หรือรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “นางลิซ ทรัสส์” (Liz Truss) ออกมาชี้แนะ ชี้นำ หวังที่จะเห็นบทบาททางทหารของนาโต เป็นไปในแบบ “นาโตแห่งโลก” หรือ “A Global NATO” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...เป็นการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะ “เปิดศึก 2 ด้าน” ภายในเวลาเดียวกัน แม้จะเป็นสิ่งที่ “อันตราย” เอามากๆ กระทั่งในสายตาของ “เพนตากอน” ที่เคยสารภาพกับคณะกรรมาธิการทหารวุฒิสภา ว่าสหรัฐฯ ไม่เคยเตรียมตัวรับมือกับภาวะเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ภายใต้สภาวะ “ผีใกล้จะถึงป่าช้า” หรือภายใต้สภาพปัญหาทางการเมือง-เศรษฐกิจ ไม่ว่าของอเมริกาหรือยุโรป ที่ออกจะหาทางออก ทางไป แทบไม่เจอ หรือไม่? อย่างไร? ก็มิอาจสรุปได้ ไม่ว่าทั้งแนวรบยุโรปตะวันออกและแนวรบทะเลจีนใต้ จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเผชิญหน้าในทางทหาร ระหว่างอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกกับ 2 หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ และ 2 มหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างจีนและรัสเซียไปพร้อมๆ กัน...
และอาจด้วยบรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...เลยทำให้พันธมิตรที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับจีนและรัสเซียอย่างเป็นพิเศษ อย่างคุณพี่ “คิม จองอึน” (Kim Jong Un) ผู้นำแห่งเกาหลีเหนือ จึงได้จังหวะลุกขึ้นมาประกาศว่า ภายใต้ฉากสถานการณ์โลกที่กำลังเป็นไปเช่นนี้ เกาหลีเหนือจึงได้ตัดสินใจแล้วที่จะเลือกใช้กรรมวิธี “ชิงโจมตีก่อน” (Preemptive Strike) ต่อพลังอำนาจต่างชาติใดๆ ก็ตาม ที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเกาหลีเหนือ ด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่มีความรวดเร็วและแม่นยำ นี่...ต้องเรียกว่า ท่ามกลางสีสัน บรรยากาศ ทำนองนี้ คงต้องเตรียมขนหัวลุก ขนคอตั้ง ได้มั่งแล้วนั่นแหละทั่น!!! เพราะโอกาสที่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” มันอาจไปไกลในแบบ “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น” หรือไปถึงขั้น “สงครามนิวเคลียร์” ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย ด้วยเหตุเพราะไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็เถอะ ต่างไม่คิดจะลดราวาศอกระหว่างกันและกันไปด้วยกันทั้งสิ้น!!!