ดูถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายที่ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.จะเป็นนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เพราะคะแนนนำในทุกโพลที่มีการสำรวจ เว้นแต่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะหาอะไรที่มาสร้างความเป็นเอกภาพได้
แน่นอนฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมีความเป็นเอกภาพมากกว่า ถ้าสังเกตจากโพลคะแนนของนายชัชชาติจะนำโด่ง คะแนนของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตามมาห่างๆ นั่นแสดงว่าคนรุ่นใหม่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาลเองก็อาจจะไม่ได้เทให้นายวิโรจน์เป็นกลุ่มก้อน แต่มีส่วนหนึ่งไปสนับสนุนนายชัชชาติ
ดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ฝ่ายไม่เอาทหาร สามารถหา strategic vote ได้แล้วคือ โหวตชัชชาติ แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมยังเสียงแตกไม่เป็นเอกภาพ
เพราะคะแนนของอีกฝั่งคือพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กับนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายสกลธี ภัททิยกุล มีคะแนนที่ไม่ต่างกันมาก แถมจากโพลเมื่อรวมกันแล้วยังน้อยกว่านายชัชชาติ เพียงแต่ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังไม่ตัดสินว่าจะเลือกใคร ถ้าฝั่งนี้ยังไม่สามารถหาความเอกภาพหรือสร้าง strategic vote ได้คะแนนของนายชัชชาติก็น่าจะชนะอย่างขาดลอย
ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ได้ 1,256,349 คะแนน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พรรคเพื่อไทยได้ 1,077,899 คะแนน มีคนได้คะแนนเกิน 1 แสนคนเดียวคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส มีผู้สมัครได้หลักหมื่นอีก 2 คน นอกเหนือจากนั้นได้คะแนนหลักพันกับหลักร้อย คนที่ได้มากที่สุดในหลักพันก็ได้เพียง 2,730 คะแนนเท่านั้นเอง
จะเห็นว่าการชนะครั้งที่แล้วนั้นมีคะแนนระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต่างกันประมาณ 2 แสนคะแนน แต่ครั้งนี้ฐานของฝั่งเพื่อไทยที่สนับสนุนนายชัชชาติน่าจะมีมากขึ้น เพราะนอกจากได้คนเสื้อแดงแล้วก็จะมีฐานเสียงจากคนรุ่นใหม่เพิ่มมากด้วย นอกจากนั้นนายชัชชาติยังได้รับความนิยมจากคนชั้นกลางในเมืองที่เคยเป็นฐานของอีกฝั่งไม่น้อย
เมื่อดูจากการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.ครั้งที่ผ่านมา พลังประชารัฐได้ 791,893 คะแนน อนาคตใหม่ 804,272 คะแนน เพื่อไทย 604,699 คะแนน ประชาธิปัตย์ 474,820 คะแนน และอื่นๆ 426,596 คะแนน จะเห็นว่า คะแนนของฝั่งที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยหรือฝั่งตรงข้ามของรัฐบาลมีคะแนนรวมที่มากกว่า
นั่นแสดงว่าพื้นที่ กทม.ถูกฝั่งเสื้อแดงส้มยึดครองแล้ว เพราะคะแนนของพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่รวมกันมีมากถึง 1.4 ล้านคะแนน และเมื่อดูจำนวน ส.ส.จะพบว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ได้ไปพรรคละ 9 ที่นั่ง รวมเป็น 18 ที่นั่ง ในขณะที่อีกฝั่งคือพรรคพลังประชารัฐได้ไป 12 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม คะแนนของพรรคอนาคตใหม่จะมากกว่าพรรคเพื่อไทยก็จริง แต่ในครั้งนั้นพรรคเพื่อไทยส่งใน กทม.ไม่ครบทุกเขต เพื่อหลีกทางให้พรรคไทยรักษาชาติ แต่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบไปคะแนนในเขตเหล่านั้นจึงไปเทให้พรรคอนาคตใหม่ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ในการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคอนาคตใหม่มีคะแนนรวมกันใน กทม.มากเป็นอันดับ 1
ที่น่าสังเกตคือ แม้การเลือกตั้งครั้งที่แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะตกต่ำมาก ไม่ได้ที่นั่ง ส.ส.แม้แต่เขตเดียว เพราะคน กทม.จำนวนหนึ่งทิ้งประชาธิปัตย์ไปเลือกพรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังได้คะแนนใน กทม.ถึง 474,820 คะแนน จึงนับว่า คะแนนนี้น่าจะเป็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ รอดูว่าคะแนนของนายสุชัชวีร์จะได้ประมาณนี้ไหม ในภาวะที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญกับวิกฤตจากกรณีอื้อฉาวของอดีตรองหัวหน้าพรรค
แต่จะเห็นว่าเมื่อรวมคะแนนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐจากการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งที่แล้วกับพรรคประชาธิปัตย์ก็จะใกล้เคียงกับคะแนนที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้รับจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในครั้งที่ผ่านมา แต่ก็น้อยกว่าคะแนนรวมของพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่
น่าสนใจก็คือ รสนา โตสิตระกูล ซึ่งเคยชนะเลือกตั้ง ส.ว.กทม.ด้วยคะแนนทั้งหมด 743,397 คะแนน ทิ้งอันดับ 2 นายนิติพงษ์ ห่อนาค ซึ่งได้คะแนนประมาณ 200,000 คะแนน ทั้งสองรวมกันเกือบล้าน คะแนนของรสนาและนิติพงษ์น่าจะมาจากฝั่งเสื้อเหลือง เพราะทั้งสองมีทัศนคติทางการเมืองสอดคล้องกับฝั่งนี้ ดังนั้นจึงน่าจะอยู่ในฝั่งที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
ถามว่าคน 743,397 คนที่เคยเลือกรสนาเป็น ส.ว.อันดับ 1 ของ กทม.ยังจะจดจำเธอได้ไหม เพราะจากการเลือกตั้ง ส.ว.เมื่อปี 2549 จนถึงวันนี้ห่างกัน 16 ปีแล้ว
รสนาประกาศตัวลงครั้งนี้ในฐานะของอิสระตัวจริง ซึ่งแน่นอนว่า คนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีอิสระจริงและมีพรรคเพื่อไทยหนุนหลังก็คือ นายชัชชาติ เธอประกาศว่า ต้องหยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่ เธอมีจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้องประโยชน์ของสาธารณะมาโดยตลอด และมีความแน่วแน่กับอุดมการณ์ที่เธอยึดมั่น เชื่อได้ว่า สิ่งที่เธอพูดว่าต้องหยุดโกงหากเธอได้รับเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง
รสนาเป็นแกนนำในการตรวจสอบทุจริตยา เพื่อยื่นตรวจสอบการทุจริตยาของกระทรวงสาธารณสุข จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น นายรักเกียรติ สุขธนะ ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 15 ปี และถูกยึดทรัพย์เป็นจำนวน 233.8 ล้านบาท
และเธอยังเป็นแกนนำในการยับยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยยื่นเรื่องต่อศาลปกครองในการยับยั้งการแปรรูปของ กฟผ.อันนำมาสู่คำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาแปรรูป กฟผ.ทั้ง 2 ฉบับ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้รสนามีนโยบายหลายด้าน แต่สองนโยบายที่รสนาประกาศชัดเจนก็คือ การทำให้ค่ารถไฟฟ้าลดลงเหลือ 20 บาท ตลอดสาย โดยเธอประกาศว่าสามารถทำได้โดยการไม่ต่ออายุสัมปทานที่จะหมดลงในปี 2572 เพื่อให้กรรมสิทธิ์รถไฟฟ้าสายสีเขียวจะตกเป็นของ กทม. ดังนั้นนับจากปี 2572 ราคาค่าตั๋วโดยสารจะไม่มีต้นทุนค่าโครงสร้างอีก จะเหลือแต่ค่าใช้จ่ายการเดินรถและค่าบำรุงรักษาเพียง 10-16 บาท ค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายจึงเป็นไปได้แน่นอน
และจะให้บำนาญประชาชน 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อดูแลผู้สูงอายุที่ไม่มีสวัสดิการ โดยใช้เงินจากการหารายได้ของ กทม.จากบริษัทกรุงเทพธนาคม รายได้จากตลาด และทำให้ขยะของ กทม.กลายเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ได้ด้วยการไม่โกง ซึ่งจะทำให้ กทม.มีเงินเพียงพอที่จะมาสร้างสวัสดิการให้กับประชาชน
แต่แม้ว่ารสนาจะเคยได้รับเลือกตั้งถึง 743,397 คะแนน ในการเลือกตั้ง ส.ว.แต่คนที่ลงคะแนนครั้งนั้นก็เป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองแต่ละพรรคกระจายกันไป คนเหล่านั้นอาจจะหันไปเลือกพรรคที่ตัวเองชื่นชอบ ก็น่าสนใจว่ามีคนที่เคยลงให้รสนาในจำนวนดังกล่าวยังคงลงให้เธอกี่คน
แต่ถ้าคนกรุงเทพฯ 743,397 คน ยังเห็นว่าเธอสามารถเป็นตัวแทนที่ดีได้ ยังไม่ลืมเธอ รสนาก็อาจจะสร้างบิ๊กเซอร์ไพรส์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ แม้ความหวังจากโพลจะดูริบหรี่ก็ตาม
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan