xs
xsm
sm
md
lg

จุดจบสงครามยูเครนกับจุดเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 3???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ
มาถึง ณ ขณะนี้...ก็ร่วมๆ 2 เดือน หรือกว่า 50 วันเข้าไปแล้ว สำหรับ “วิกฤตยูเครน” ส่งผลให้ผู้ที่ไม่อยากเห็นความไม่สงบ ความวุ่นวายปั่นป่วนอีกต่อไป อดไม่ได้ที่จะต้องพยายามควานหา “คำตอบ” ว่าสุดท้ายแล้ว...มันจะจบกันในตอนไหน? เมื่อไหร่? และอย่างไร? อันทำให้เราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลายหนีไม่พ้นต้องหันมาใส่ใจ ให้ความสนใจ ถึงบรรดาสิ่งเหล่านี้เอาไว้มั่ง ไม่ใช่เอาแต่เชียร์อเมริกา เชียร์รัสเซีย แบบไม่ต่างอะไรไปจากแฟนมวย หรือแฟนบอล ประเภทสาวก “ผีแดง-แมนยูฯ” หรือ “หงส์แดง-ลิเวอร์พรุน” อะไรประมาณนั้น...

คืออันที่จริง...เอาเข้าจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันน่าจะ “จบ” ลงไปอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ เพราะถ้ามองถึงวัตถุประสงค์ความต้องการของฝ่ายรัสเซียเขา ที่มุ่งจะ “Demilitarization” ยูเครน หรือทำให้พื้นที่ ดินแดนแห่งนี้ ไม่อาจถูกแปรสภาพให้กลายเป็น “เครื่องมือทางการทหาร” ในการกดดัน เล่นงานประเทศรัสเซียได้อีกต่อไป ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาและนาโตจะพยายามขยายอำนาจ อิทธิพล ในยุโรปต่อไปในรูปไหนต่อรูปไหน แต่การสามารถเชื่อมโยงดินแดน “ดอนบาสส์” (Donbass) อันประกอบไปด้วยสาธารณรัฐประชาชน “ลูฮันสก์” (Luhansk) และ “โดเนตสก์” (Donetsk) โดยเฉพาะเมืองท่าสำคัญอย่าง “มาริอูโปล” (Mariupol) ให้เข้ามาเชื่อมต่อกับฐานทัพทางทหารของรัสเซียในดินแดน “ไครเมีย” (Crimea) จนกลายเป็น “ระเบียงทางยุทธศาสตร์” ที่สามารถเอาไว้รับมือกับกองกำลังนาโตได้สบายๆ หรือสามารถควบคุมทะเลดำและทะเลอาซอฟ โดยยากที่ใครจะเข้าไปยุ่มย่าม ยั้วะเยี้ยะได้ง่ายๆ อันนี้ถ้าว่ากันในแง่ “ยุทธศาสตร์ทางทหาร” ต้องถือว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะจบได้แล้ว พอได้แล้ว!!! ไม่น่าจะฮึด ไม่น่าที่จะยื้อกันอีกต่อไป...

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ถ้าฟังจากสุ้มเสียงของบรรดาสมาชิกสมาคม “เสือก” กิตติมศักดิ์ ไม่ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายแอนโทนี บลิงเคน” (Antony Blinken) ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายเจค ซุลลิแวน” (Jake Sullivan) ไปจนถึงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ “นายเน็ด ไพรซ์” (Ned Price) เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ต่างมุ่งจะออกแรงยุ แรงเชียร์เพื่อหวังให้รัฐบาลหรือกองทัพยูเครน ยื้อไป-ยื้อมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นการออกมา “ประเมินสถานการณ์” ว่า “การสู้รบในยูเครนอาจต้องใช้เวลายาวนานต่อไปอีกหลายๆ เดือน” ของ “นายเจค ซุลลิแวน” หรือของรัฐมนตรีต่างประเทศไปจนถึงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่พยายามให้ข้อสรุปว่า “สงครามยูเครนอาจต้องต่อเนื่องเลยไปจากสิ้นปี ค.ศ. 2022” โน่นเลย ยิ่งผู้ที่พร้อมมอบกาย มอบใจ ถวายหัวให้กับคุณพ่ออเมริกา อย่างผู้นำยูเครน ประธานาธิบดีอดีตดาวตลก “นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้” (Volodymyr Zelensky) ที่ออกมายืนหยัด ยืนกราน ว่ากองทัพยูเครนสามารถสู้รบกับกองทัพรัสเซียต่อไปได้อีกเป็นสิบๆ ปี ทั้งๆ ที่ต้อง “สู้ไป-ขอทานไป” หรือต้องขอเงิน-ของอาวุธ จากอเมริกาและประเทศต่างๆ อย่างแทบไม่หยุดปาก การสู้ในแบบไม่ได้คิดสนใจว่าทหารของตัวเอง หรือประชาชนของตัวเอง จะตายโหง ตายห่า กันไปถึงขั้นไหน??? หรือขนาดถูกล้อมกรอบแบบไม่เหลือทางออก ทางไป หรือทางสู้ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ณ ฐานที่มั่นสุดท้าย ณ โรงงานเหล็ก “อาซอฟสตัล” (Azovstal) ในเมืองมาริอูโปล แต่ก็ยังอุตส่าห์ออกมาสั่งการบรรดาทหารที่ถูกยื่นคำขาดให้ยอมแพ้ ยอมวางอาวุธ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ห้ามไม่ให้ยอมแพ้ ยอมวางอาวุธโดยเด็ดขาด ไม่งั้นโดน “ประหารชีวิต” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

การคิดจะสู้ในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่มันเลยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยากจะหามุมจบ หาข้อยุติกันได้ง่ายๆ ไม่ต่างไปจากการเปิดฉาก “สงครามเศรษฐกิจ” กับรัสเซียของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ที่เมื่อมาถึง ณ บัดนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ออกไปทาง “ล้มเหลว” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน แม้ว่าตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา การแซงชั่นแบบมหาโหดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลก คือแซงชั่นไปแล้วถึง 5,000 รายการ หนักกว่าการแซงชั่นคู่กัด คู่อาฆาตอย่างอิหร่าน ตลอดช่วง 40 ปีที่ผ่านมาถึงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์เอาเลยก็ว่าได้ แต่กระนั้นก็ตาม...การที่เงินรูเบิลของรัสเซียที่เคยตกจากหอ คอย่น ลงไปถึง 150-160 รูเบิลต่อยูโรในช่วงแรกๆ สามารถเด้งดึ๋งกลับมาอยู่ที่ 81.4 รูเบิลต่อยูโรเมื่อช่วงวัน-สองวันมานี้ แถมตัวเลขดุลการค้าช่วงไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2022 ยังเกินดุลไปถึง 8,000 ล้านดอลลาร์ อันนี้ย่อมถือเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนถึงความ “ล้มเหลว” ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรปอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย แถมผลกระทบของการแซงชั่น ที่ย้อนกลับเป็น “บูมเมอแรง” ไปยังเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรป ยันไปถึงพันธมิตรในเอเชียอย่างคุณพี่ญี่ปุ่น ยุ่นปี่ ชนิดหนีไม่พ้นต้องพังพินาศฉิบหายกันไปเป็นแถบๆ ยังปรากฏให้เห็นอย่างเป็นเรื่อง-เป็นราว และมีแต่จะหนักหนา-สาหัส ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

ภาวะ “เงินเฟ้อ” ระดับ 8.5 เปอร์เซ็นต์ในอเมริกา ส่งผลให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของ “Goldman Sachs” อย่าง “นายJan Hatzius” ค่อนข้างเชื่อว่าแม้แต่ “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “FED” ก็มิอาจแก้ไข แก้ปัญหา ใดๆ ได้เลย ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” (Recession) อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อระดับ 7.0 เปอร์เซ็นต์ในอังกฤษ ทำให้บรรดาพวก “ผู้ดีอังกฤษ” ทั้งหลาย จำนวนกว่าครึ่ง หรือ 57 เปอร์เซ็นต์ เกิดความเห็นพ้องต้องกันว่าผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง หรือ “นายบอริส จอห์นสัน” น่าจะ “ลาออก” ได้แล้ว!!! นี่ถ้าว่ากันตามผลสรุปความคิดเห็นจากสำนัก “YouGov Poll” ไปจนถึง “Redfield and Winton Strategies” และหนังสือพิมพ์ “The Sunday Telegraph” ซึ่งเปิดเผยไปเมื่อช่วงวันอังคาร (19 เม.ย.) ที่ผ่านมา ไม่ต่างไปจากภาวะเงินเฟ้อประมาณ 7.5 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มประเทศอียูที่ทำให้บรรดาชาวยุโรปทั้งหลาย เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวเอามากๆ กับความพยายามแซงชั่นรัสเซียในด้านพลังงาน จนต้องเรียกขานกันในนาม “Energy Masochism” หรือประเภท “ไม่เจ็บนอนไม่หลับ” อะไรประมาณนั้น เพราะส่งผลให้บรรดาชาวยุโรปต้องทนหนาว ทนเหน็บ ระดับต้อง “เด็ดปัสสาวะทิ้ง” กันไปเป็นรายๆ แม้แต่พันธมิตรในเอเชีย อย่างคุณพี่ญี่ปุ่น ยุ่นปี่ ก็เถอะ ล่าสุด...รัฐมนตรีคลัง อย่าง “นายShunichi Suzuki” ได้ออกมาร้องโอดโอยว่าภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่น ที่ทำให้ค่าเงินเยนเสื่อมค่าลงไปถึง 127.80 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ หรือต่ำสุดในรอบ 20 ปี อาจส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นทั้งระบบ ถึงขั้นฉิบหายวายวอด เอาเลยก็ไม่แน่!!!

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้มันคงต้องเร่งหามุมจบ หาข้อยุติกันได้แล้ว โดยเฉพาะภายใต้ “โต๊ะเจรจา” ระหว่างตัวแทนฝ่ายรัสเซียและยูเครน ที่ตั้งโต๊ะเจรจามาแล้วถึง 5 ครั้ง แต่ก็ยังหามุมจบ หาข้อยุติแทบไม่ได้ อันเนื่องมาจากคุณพ่ออเมริกานั่นแหละ ท่านไม่อยากให้จบ!!! อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างยืดเยื้อต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จะเพื่อให้ธุรกิจค้าอาวุธของบริษัทอเมริกาและอังกฤษที่ทำกำไรขี้แตก ขี้แตน ยิ่งเข้าไปทุกที หุ้นขึ้นระดับ 13-16 ไปจนถึง 23 เปอร์เซ็นต์เอาเลยก็มี หรือเพื่อทำให้การหันซ้าย-หันขวาบรรดาประเทศยุโรปที่กลัวรัสเซียแบบอุจจาระขึ้นสมอง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ทำให้ “เครื่องมือทางทหาร” อย่างนาโต สามารถขยายขอบเขต อิทธิพลได้เพิ่มขึ้นๆ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...เลยทำให้สงครามในยูเครนยังคงต้องดำเนินต่อไป และส่งผลให้แนวโน้มของสงครามที่ถูกเรียกขานจากผู้คนบางกลุ่ม บางรายว่า “สงครามเย็นยุคใหม่” นั้น เผลอๆ...อาจหนักหนา-สาหัสยิ่งกว่า “สงครามเย็นยุคเก่า” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

เพราะอย่างที่สื่อทางการจีน “Global Times” เขาได้แสดงความคิด ความเห็น ไว้ในบทบรรณาธิการเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า สำหรับ “สงครามเย็นยุคเก่า” นั้น มันยังพอมีความ “ระงับยับยั้งชั่งใจ” ของทั้งสองฝ่าย ที่จะไม่ให้ความขัดแย้งต่างๆ มันเตลิดเปิดเปิงเกินไปกว่าที่ต่างฝ่ายต่างมิอาจควบคุมเอาไว้ได้ การรู้จัก “ถอยห่าง” กันคนละก้าว อย่างเช่นที่อดีตผู้นำอเมริกาและผู้นำโซเวียตรัสเซียเคยแสดงให้เห็นในกรณี “วิกฤตคิวบา” เมื่อปี ค.ศ. 1962 จึงกลายเป็น “คำตอบ” ถึงจุดจบ-ข้อยุติความขัดแย้งในลักษณะดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับ “สงครามเย็นยุคใหม่” หรือการสู้รบในสมรภูมิยูเครนในทุกวันนี้ แม้จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดราวต่อพลเมืองชาวยูเครนนับล้านๆ ที่ต้องอพยพหลบหนีออกจากประเทศตัวเอง ต้องหลั่งเลือด หลั่งเนื้อของบรรดาทวยทหาร ที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ยอมแพ้ ยอมอาวุธโดยเด็ดขาด ไปจนถึงความขาดแคลนสินค้าต่างๆ และความพังพินาศต่อระบบเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก ฯลฯ...

แต่ในเมื่อมันกลับก่อให้เกิดสิ่งที่สื่อทางการของจีนเขาสรุปไว้ประมาณว่า “Washington’s geopolitical appetite has been growing” หรือทำให้ความกระหายอยากที่จะช่วงชิงความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ของคุณพ่ออเมริกา ผู้หวังจะเป็นจ้าวโลกหรือดำรงความเป็น “ประมุขโลก” ต่อไปให้จงได้ กลับโตขึ้นๆ อันนี้นี่เอง...ที่ทำให้หัวหน้าคณะผู้บริหารแห่งสถาบัน “Chongyang Institute for for Financial Studies” (RDCY) แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินของจีน อย่าง “นายWang Wen” ถึงต้องให้ข้อสรุปต่อแนวโน้มของสงครามดังกล่าวเอาไว้ในข้อเขียน บทความที่ชื่อว่า “The world has become more dangerous and the chances of World War 3 are increasing” หรือโอกาสที่มันจะลุกลามบานปลายไปเป็น “สงครามร้อน” หรือ “สงครามโลกครั้งที่ 3” ยิ่งมีแต่เพิ่มขึ้นๆ เข้าไปทุกที...




กำลังโหลดความคิดเห็น