วันนี้...คงต้องขออนุญาตชวนแวะไปดูบรรดาประเทศ “อียู” หรือ “อีย้วย” เขาไว้สักหน่อย เพราะแค่ต้องเจอกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ไม่ว่าสายพันธุ์ธรรมดา สายพันธุ์เดลตา หรือสายพันธุ์โอมิครอน ตลอดช่วง 2 เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ต้องเรียกว่า...ออกอาการ “ย้วยไป-ย้วยมา” แทบหาหลักปักเลนอะไรแทบไม่ได้ ยิ่งเมื่อต้องมาเจอกับ “วิกฤตยูเครน” เข้าไปอีกดอก โอกาสที่จะ “ล่มสลาย” ชนิดไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
คือความเป็นประเทศยุโรปนับแต่ช่วงอดีต หรือนับจากช่วงหลัง “สงครามโลกครั้งที่ 1-ครั้งที่ 2” เป็นต้นมา เคยมีนักประวัติศาสตร์เขาเปรียบเทียบ อุปมา-อุปไมย เอาไว้ค่อนข้างเข้าท่า ว่าด้วยความบอบช้ำจากพิษภัยของสงครามโลกในแต่ละครั้ง ส่งผลให้บรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย มีสภาพไม่ต่างไปจาก “โคลนเหลวๆ” ที่จะกอบเอามาขึ้นรูป ปั้นเป็นรูป อะไรต่อมิอะไรก็ย่อมได้ และ “ช่างปั้น” ที่เข้าไปก่อรูป ก่อร่าง ให้กับประเทศยุโรปตะวันตกทั้งหลาย นับแต่ช่วงระยะนั้น ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” อย่างคุณพ่ออเมริกาของหมู่เฮานั่นเอง การหันซ้าย-หันขวาให้บรรดาประเทศยุโรปต้องเป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของอเมริกา จึงสามารถดำเนินมาตั้งแต่นั้นจนตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะการอาศัยบทบาท อำนาจ อิทธิพลทางทหาร อย่างองค์กร “นาโต” เป็นเครื่องมือ อันเป็นองค์กรที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายZhao Lijian” ท่านเพิ่งออกมาพูดไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า น่าจะ “ยุบเลิก” ไปได้แล้ว ตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุด ยุติ ลงไปก่อนหน้านี้...
แม้ว่าบรรดาประเทศในยุโรปจะพยายามพัฒนา พยายามยกระดับความเป็นตัวของตัวเอง หรือความเป็นอิสระไปจากการหันซ้าย-หันขวาของอเมริกา ด้วยการผนึกกำลังรวมตัวกันเป็น “สหภาพยุโรป” หรือ “อียู” อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ แต่ด้วยเหตุที่ลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ มันค่อนข้างจะผิดแผกแตกต่าง ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอไปตลอดบรรดาร่องรอยความแปลกแยก หรือแตกแยก มันก็ส่อให้เห็นมาแล้วตั้งแต่ต้น ครั้นเมื่อเจอกับเรื่องเศรษฐกิจ เจอกับ “ปัญหาหนี้สิน” ที่พอกพูนเป็นดินพอกหางหมูในประเทศอียูแต่ละประเทศ รอยแตก รอยแยก มันก็เริ่มส่อแววให้เห็นชัดเจน มาตั้งแต่ประเทศ “เสาหลักทางเศรษฐกิจ” ในอียู อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส พยายามที่จะ “รัดเข็มขัด” บรรดาประเทศสมาชิกทั้งหลาย จนต้องเกิดรายการ “Brexit” ที่ทำท่าว่าอาจลุกลามกลายไปเป็น “Nexit”, “Frexit” หรือ “Grexit” ฯลฯ หรือออกการแทบจะ “แตกดังโพละ” ไปทั่วทั้งอียูมาแล้วตั้งแต่นั้น...
ด้วยเหตุนี้...เมื่อต้องเจอกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ที่ทำให้บรรดาฝรั่งยุโรปติดเชื้องอมแงมเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แล้วยังต้องมาเจอกับ “วิกฤตยูเครน” เข้าไปอีกดอก โดยลักษณะอาการของบรรดาประเทศอียูทุกวันนี้ เลยออกจะเละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก อย่างเห็นได้โดยชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยุโรปแต่ละประเทศ ต่างต้องหันไปเดินตามความปรารถนาความต้องการของรัฐบาลอเมริกัน หรือต้องทำในสิ่งที่ผู้นำรัสเซียท่านเรียกว่า “การบูชายัญ” ผู้คนพลเมือง ให้กับนโยบาย “ความเป็นจ้าวโลก” ของคุณพ่ออเมริกาเป็นเบื้องแรกนั่นเอง หรือทั้งๆ ที่ต้องพึ่งพาพลังงานแก๊สและน้ำมันจากรัสเซียถึง 40 เปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด ถ่านหินอีกไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย แต่ต้องยินยอมพร้อมใจหันมา “แซงชั่นรัสเซีย” ในกรณี “วิกฤตยูเครน” กันจนได้ อันเนื่องมาจากสาเหตุเริ่มแรกที่ตัวเองดันไหลไปตามความต้องการของ “นาโต” ในการขยายอำนาจอิทธิพลทางทหาร เข้าไปยังปากประตูบ้านของรัสเซีย ทั้งที่เคยสัญญิง สัญญา ไว้ตั้งแต่ช่วงสงครามเย็นยุติหมาดๆ ว่าไม่คิดจะคืบคลานเข้าไป “แม้แต่นิ้วเดียว” อะไรทำนองนั้น...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ออกอาการเละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก อย่างเห็นได้โดยชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายที่ถูกแซงชั่นอย่างรัสเซีย เขาหันมา “ย้อนศร” แบบชนิดบูมเมอแรง หรือให้ต้องจ่ายค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ไปจนอาจถึงค่าข้าว ค่าปุ๋ยและค่าอะไรต่อมิอะไรเป็น “เงินรูเบิล” เอาเลยก็เป็นได้ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่เริ่มเฟ้อๆ อยู่แล้วนับจากช่วงการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิดเป็นต้น มันเลยยิ่งมีแต่ “เฟ้อ...กับ...เฟ้อ” หนักยิ่งขึ้นไปใหญ่ เงินเฟ้อในสเปนช่วงนี้...เห็นว่าปาเข้าไป 9.8 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว เมื่อช่วงวันพุธ (30 มี.ค.) ที่ผ่านมา ถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติของ “The National Statistics Institute” ส่วนอังกฤษปาเข้าไปถึง 6.2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เยอรมนีพุ่งขึ้นไปถึง 7.3 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ หรือโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 19 ประเทศในอียู ที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลัก ภาวะเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7.5 เปอร์เซ็นต์ ตามตัวเลขสถิติที่ “European Union Statistics Agency” เขาได้สรุปเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้...
โดยแนวโน้มที่ว่านี้...แทบจะหาจุดสิ้นสุด จุดยุติ แทบไม่ได้ในระยะยาว อย่างที่ประธานธนาคารกลางอียู “นางChristine Lagarde” ได้ออกมาสรุปถึงแนวโน้มหลักๆเอาไว้ประมาณ 3 ประการด้วยกัน นั่นคือ 1. แนวโน้มราคาพลังงานยังคงอัตราสูงต่อเนื่องในระยะยาว 2. ราคาอาหารยังคงถีบตัวสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และ 3. ปัญหาคอขวดจากธุรกิจประกอบชิ้นส่วนหรือห่วงโซ่อุปทานยังคงขาดแคลนต่อเนื่อง ส่งผลให้ “จีดีพี” ประเทศอียูโดยรวม มีสิทธิ์ร่วงผล็อยๆ ไม่ว่าในปีนี้ หรือปีหน้า อย่างชนิดยากที่จะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาประชาชนพลเมืองชาวยุโรป ที่ถูกรัฐบาลจับไป “บูชายัญ” ให้กับคุณพ่ออเมริกา เลยชักเริ่มออกมาก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย อย่างเป็นระลอกๆ การประท้วงลงถนน ไม่ว่าในสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ยาวไกลไปถึงเกาะอังกฤษ ฯลฯ ด้วยเหตุเพราะความทุกข์ ความเดือดร้อน เรื่องข้าว-ปลา-อาหาร ข้าวยาก-หมากแพง จึงเกิดการก่อตัวให้เห็นไปเป็นประเทศๆ ยิ่งบรรดาชาวอังกฤษที่ต้องนำเงินรายได้ไม่น้อยกว่า 34 เปอร์เซ็นต์ มาจ่ายให้กับค่าพลังงาน หรือค่าน้ำมันที่พุ่งขึ้นไปถึง 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ค่าแก๊สที่หวิดๆ จะ 4,000 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คิวบิกเมตรอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล แถมยังต้องเจียดเงินรายได้กว่า 31 เปอร์เซ็นต์มาเป็นค่าอาหารใส่ปาก ใส่ท้อง อันเป็นตัวเลขสถิติที่ว่ากันว่าทำให้ผู้ว่าการธนาคาร “Bank of England” อย่าง “นายAndrew Bailey” ถึงกับ “ตกตะลึง” เอาเลยถึงขั้นนั้น เลยต้องหันมาจุดไฟในนาครไปตลอดทั่วกรุงลอนดอน ลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ และเมืองต่างๆ เผารถ เผายาง เผาอาคารสถานที่ พร้อมกู่ก้องร้องตะโกนให้นายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ลาออกโดยด่วน!!!
โดยลักษณะอาการเช่นนี้...ทำให้อดคิดไปถึง “จลาจลขนมปัง” ในอียิปต์ ที่กลายมาจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ “อาหรับสปริง” เมื่อหลายปีที่แล้วขึ้นมามิได้ เพราะโดยแนวโน้มที่จะนำไปสู่ “ยุโรปสปริง” หรือกระทั่ง “อเมริกาสปริง” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย ดูได้จากราคาขนมปังที่ถูกที่สุดซึ่งเคยขายๆ อยู่ในประเทศยุโรปอย่างโปแลนด์ ที่ตกประมาณ 2.2-2.6 ซวอตือ หรือ Zlotys เมื่อไม่นานมานี้ มาถึง ณ บัดนี้ ราคามันพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 10 Zlotys หรือประมาณ 2.40 ดอลลาร์เข้าไปแล้ว ไม่ต่างไปจากประเทศยุโรปรายอื่นๆ ที่หนีไม่พ้นต้องเจอกับค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ค่าอาหาร ไปจนถึงค่าเบียร์ ค่าเหล้า ฯลฯ ที่ต่างพุ่งพรวดๆ พราดๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
อาการเละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก...ที่กำลังเกิดขึ้นในบรรดาประเทศอียูหรืออีย้วยทั้งหลาย จึงเป็นอะไรที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจนำมาซึ่ง “ความเปลี่ยนแปลง” ในระดับลึกลงไปถึงโครงสร้าง หรือลึกไปถึงระดับ “จิตสำนึก” เอาเลยก็ไม่แน่!!! อันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้ “โลกทั้งโลก” ซึ่งเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพล ทัศนคติ แนวคิด วิธีคิด ฯลฯ แบบบรรดาชาวยุโรป หรือบรรดา “ฝรั่ง” ทั้งหลาย นับแต่ยุค “อาณานิคม” เป็นต้นมา อาจกำลังเป็นไปในแบบ “Westlessness” แบบ “De-Westernization” หรือแบบไม่คิดจะ “เอาอย่างฝรั่ง” อีกต่อไป ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...