ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
สาขาวิชาปัญญาและการวิเคราะห์ธุรกิจ
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
คดีที่ดินในป่าสงวนแห่งชาติฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ที่เข้าไปซื้อมาครอบครองโดยคนบางตระกูล แล้วออกมาบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐไปรังแกครอบครัวตนเองเมื่อถูกเพิกถอนที่ดินนั้น โดยกล่าวว่าตนเองซื้อมาสามสิบปี ไม่ได้เป็นคนไปบุกรุกเอง แต่ซื้อมาจากกลุ่มบริษัทน้ำตาล ผ่านมาสามสิบปี พอไอ้ตี๋มาเล่นการเมือง ตนเองเลยถูกรังแกกลั่นแกล้ง จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และรับไม่ได้ที่คนตำหนิว่าคดโกง ถ้าพิสูจน์ได้ว่าตนเองโกงมาก็ยินดีจะคืนที่ดินทั้งหมดในทันที
ข้อเท็จจริงมีดังนี้
หนึ่ง ที่ดินนั้นเป็นป่าถาวรตั้งแต่ปี 2512 และมีนายทุนมากว้านซื้อบุกรุกออก นส 2ก และ นส3 ในปี 2521 ก่อนไอ้ตี๋เกิด ไม่กี่วัน
สอง ปี 2527 ที่ดินบริเวณดังกล่าวได้มีการประกาศจากป่าถาวรให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ว่าจะเข้าไปบุกรุกหรือถือครองที่ป่าถาวรหรือที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต่างก็ผิดกฎหมายทั้งสิ้น
สาม ปี 2531 ยัยซิ้มและสามีที่เสียชีวิตไป ได้ให้คนของตนเองสองคน มีอาชีพเป็นนายหน้าหรือไม่ มากว้านซื้อไป 60 แปลงซึ่งมี นส3 และ มีอีกหลายสิบแปลง เป็นที่ นส2ก และ ภบท 5 อันยังไม่เป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์แต่ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และมีการเข้าไปใช้ประโยชน์ บุกรุก เช่นการปลูกต้นยูคาลิปตัส
สี่ ในการซื้อขายที่ดิน นส3 จำนวน 60 แปลงนั้น ได้มีการซื้อขายถ่ายเทกันหลายทอด โดยที่ยัยซิ้มและสามีตลอดจนไอ้ตี๋ และเจ๊พี่สาว ได้ใส่ชื่อไว้ แต่ที่สำคัญสุดคือแทบทุกแปลงมีบันทึกถ้อยคำตามระเบียบของกรมที่ดินที่เรียกว่า ทด 16 ว่าพื้นที่ดังกล่าวที่ซื้อมาอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจะถูกเพิกถอนเมื่อไหร่ก็ได้
ห้า เวลาไปซื้อขายที่ดินที่กรมที่ดิน เจ้าหน้าที่จะยกแฟ้มทั้งแฟ้มซึ่งมี นส3 และเอกสารการรังวัด ตลอดจนเอกสารอื่นๆ รวมไปถึง ทด 16 ของที่ดินแปลงนั้นมาให้ผู้ซื้อได้อ่านและพิจารณาก่อนเสมอ
หก ยัยซิ้มถือครองที่ดินทั้ง ภบท5 นส2ก ซึ่งทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ได้ทำสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องไปแล้วแยกไปหนึ่งคดี และขณะนี้สำคัญอยู่ที่พนักงานอัยการ
เจ็ด บก. ปทส. ทำสำนวนส่งไปที่อัยการ โดยสั่งไม่ฟ้อง ยัยซิ้ม เจ๊พี่สาว และไอ้ตี๋ ก่อนที่กรมที่ดินจะไปลงรังวัดด้วยดาวเทียม และยังดำเนินการเพิกถอนไม่เสร็จ แยกเป็นอีกคดีในส่วนที่เป็น นส3 จำนวน 60 แปลง หลังลงรังวัด พบว่า 59 แปลงอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 100% ของพื้นที่แปลง และมีหนึ่งแปลงที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติกึ่งหนึ่งและนอกเขตอีกกึ่งหนึ่ง กรมป่าไม้ได้ร่วมยืนยันกับกรมที่ดินว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจริงๆ
แปด อัยการขอให้พนักงานสอบสวน บก. ปทส. สอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเพิกถอนนส3 จำนวน 60 แปลง แต่ยังไม่ทันสอบสวนแล้วเสร็จ กรมที่ดินก็ประกาศเพิกถอนนส3 ดังกล่าวของยัยซิ้ม เจ๊พี่สาว และไอ้ตี๋ ทำให้ยัยซิ้มออกมาพูดแบบคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้อย่างเดียวดังกล่าวข้างต้น
เก้า เมื่อตอนที่เตี่ยและยัยซิ้มไปซื้อที่ดินนั้น ไอ้ตี๋เพิ่งอายุสิบขวบ ดังนั้นไอ้ตี๋คงยังเรียนหนังสือไม่ได้ทำมาหากินหรือค้าขายอะไรเอง น่าจะเป็นว่ายัยซิ้มหรือเตี่ยซื้อที่ดินใส่ชื่อลูกไป โดยไม่ทันได้คิดว่าท้ายที่สุดจะเป็นภัยแก่ลูก เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคดีหนึ่งที่อดีตผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปรับสินบนจากต่างประเทศแล้วโอนเงินใส่บัญชีลูกสาว ซึ่งท้ายที่สุดทำให้ทั้งแม่และลูกสาวต้องไปติดคุก นี่คือนิทานเรื่องพ่อแม่รังแกฉันอีกเรื่องหนึ่งหรือไม่ ยัยซิ้มน่าจะมีคำตอบในใจของตัวเอง อย่าไปโทษคนอื่นเลยจะดีกว่า
ตรระกะที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ของยัยซิ้มแม่ไอ้ตี๋ มีดังนี้
ที่ดินไม่ได้ซื้อมามือแรก คนอื่นบุกรุก ฉันซื้อมาอย่างถูกต้อง สุจริต และซื้อมาจากคนมีชื่อเสียง เชื่อถือได้ ฉันไม่รู้เลยว่าที่ดินทั้งหมดดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ยัยซิ้มแม่ไอ้ตี๋พึงเข้าใจว่าสมบัติของชาติ ที่ของแผ่นดิน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จะซื้อขายกันมากี่ทอดก็ตาม เมื่อทอดแรกไม่ถูกต้อง ทอดอื่นๆ ที่โอนถ่ายทรัพย์สินตามๆ กันมาซื้อขายก็ย่อมไม่ถูกต้องอยู่ดี เปรียบเสมือนการรับซื้อของโจร ซึ่งอย่างไรก็ผิด และเมื่อถูกหลอกก็ต้องไปไล่เบี้ยเอากับคนที่ขายให้ตนด้วย อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดี มาตรา 157 อาญา อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
การซื้อที่ดินที่บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติมาร้อยทอดก็มิได้ทำให้ที่ดินแปลงนั้นถูกต้องตามกฎหมายแต่ประการใด ยังไงก็ต้องถูกเพิกถอนกลับไปเป็นสมบัติของชาติเช่นเดิม มิเช่นนั้นคนมีสตางค์ คนร่ำรวยก็จะไปจ้างคนยากจนให้บุกรุกที่ดินของป่าสงวนแห่งชาติแล้วขายต่อกันหลายๆ ทอดจนนายทุนไปซื้อแล้วถือว่าถูกต้อง เช่นนั้น ป่าไม้ของประเทศไทยก็จะไม่เหลือเลย เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสมบัติของชาติที่สร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมอย่างที่สุด
การถือครองมากว่า 30 ปี ไม่ได้เป็นการฟอกขาวให้ของโจรที่ขโมยของรัฐมากลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปเป็นสมบัติของชาติ
การที่ยัยซิ้มแม่ไอ้ตี๋จะอ้างว่าไม่ทราบว่าเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้นก็เป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น ด้วยเหตุผลดังนี้ การกว้านซื้อที่ดินนั้นมีคนทำให้ยัยซิ้มและเตี่ยพ่อไอ้ตี๋อยู่สองคน ซึ่งน่าจะเป็นนายหน้าหรือคนที่มีความชำนาญเรื่องที่ดินมากพอสมควร ที่ดิน 60 แปลง มีบันทึกถ้อยคำทด 16 แทบทั้งนั้น และระบุชัดเจนด้วยว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจะถูกเพิกถอนเมื่อใดก็ได้ เมื่อยัยซิ้มแม่ไอ้ตี๋ลงนามในหนังสือมอบอำนาจให้สองคนนี้ไปดำเนินการแทนตนก็ต้องทั้งรับผิดและรับชอบ ในฐานะตัวแทน โดยมีตัวการคือยัยซิ้มเอง จะปฏิเสธว่าไม่รับทราบแบบหน้ามึนดื้อตาใส เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ก็คงไม่ได้
ลองคิดง่ายๆ ว่าวิญญูชนผู้ตั้งอยู่บนหลักสุจริต เมื่อไปโอนซื้อขายที่ดินแล้วเปิดเอกสารทั้งแฟ้มมาอ่าน เจอ ทด.16 แนบหลัง นส3 แทบทุกแปลง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าอยู่ในเขตป่าสงวนจะถูกเพิกถอนเมื่อใดก็ได้ จะยังคงกล้าซื้อขาย โอนกันหรือไม่ ในเมื่อก็ทราบเต็มอกว่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เหตุใดจึงกล้าซื้อมาเป็นของตนเอง เจตนาที่แท้จริงคือต้องการได้ที่ดินของชาติมาเป็นของตนเองหรือไม่ เป็นวิธีการที่ชอบธรรมถูกต้องตามหลักสุจริตและหลักวิญญูชนหรือไม่ ทำแบบนี้จะถือว่าเป็นการโกงชาติได้หรือไม่ เพราะเป็นที่ดินของชาติที่รู้แล้วก็ยังกล้าซื้อ จะอ้างว่าไม่ได้อ่านทด.16 ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะไปโอนซื้อขายที่ดินมีหน้าที่ต้องอ่านเอกสารสำคัญทั้งหมด เรื่องนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าตรรกะวิบัติ เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้หรือไม่?
นิสัยของยัยซิ้มที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้นี่ได้ถ่ายทอดสืบสันดานมาสู่ไอ้ตี๋หรือไม่หนอ สังคมก็คงถามและคิดได้เช่นกัน?